จริยธรรมนิสิตนักศึกษาแพทย์

จริยธรรมนิสิตนักศึกษาแพทย์ ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก จริยธรรมนิสิตนักศึกษาแพทย์, แพทย์, Nonthaburi.

15/08/2025

ช่วงนี้มีข่าว"หมอปลอม"ออกมา
ไม่น่ามีวัตถุประสงค์​ดีอะไรแน่ๆ
หากรู้สึก​สงสัยไปเช็ก​ได้ที่นี่ ⬇️

https://checkmd.tmc.or.th/

เชิญชวน​นิสิต​นักศึกษา​แพทย์​ที่สนใจเข้าร่วม.."โครงการ​ประกวด​จิตรกรรม​นิสิต​นักศึกษา​แพทย์​ ครั้ง​ที่​ 1" หัวข้อ​ "การใ...
16/07/2025

เชิญชวน​นิสิต​นักศึกษา​แพทย์​ที่สนใจเข้าร่วม..

"โครงการ​ประกวด​จิตรกรรม​นิสิต​นักศึกษา​แพทย์​ ครั้ง​ที่​ 1" หัวข้อ​ "การให้​ไม่​สิ้นสุด​ (endless giving)"

ชิงเงินรางวัลกว่า 150,000 บาท พร้อมโล่รางวัล​และ​เกียรติ​บัตร

14 JuneWorld Blood Donor Dayปีนี้มีธีมว่า “Give blood, give hope: together we save lives” หรือ "ให้เลือด ให้ความหวัง​: ร...
14/06/2025

14 June

World Blood Donor Day

ปีนี้มีธีมว่า “Give blood, give hope: together we save lives” หรือ "ให้เลือด ให้ความหวัง​: รวมกันพวกเราช่วยชีวิตคนได้" เพื่อย้ำให้ตระหนัก​ว่าการบริจาค​เลือดไม่ใช่แค่เพียง​กุศลกรรม​อย่างหนึ่ง​เท่านั้น แต่เป็นการแสดงออกอันทรงพลัง​ของ​มนุษย์​ในการมอบความหวังและการหายจากโรคภัยในคนที่กำลังต้องการ​มันอย่างเร่งด่วน

Lessons learned at the bedside: Stick with the basicsบทเรียนข้างเตียงผู้ป่วย: จงยึดหลักพื้นฐานไว้เสมอบทความดังกล่าวเขียน...
14/06/2025

Lessons learned at the bedside: Stick with the basics
บทเรียนข้างเตียงผู้ป่วย: จงยึดหลักพื้นฐานไว้เสมอ

บทความดังกล่าวเขียนโดย Edward T. Creagan อายุรแพทย์ด้านมะเร็งโลหิตวิทยา ลงใน KevinMD.com เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2567 โดยเปิดเรื่องด้วยสุภาษิตฝรั่งว่า "Dance with the one who brought you" ซึ่งหมายความว่า "จงเอาใจใส่และภักดีต่อผู้ที่คอยสนับสนุนช่วยเหลือเกื้อกูลเรา"

และเล่าถึงเรื่องที่จดจำมาตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์ฝึกหัดที่ผ่านไปปฏิบัติงานในแผนกประสาทวิทยา และได้เรียนข้างเตียงกับอาจารย์แพทย์ท่านหนึ่ง ซึ่งแม้จะไม่ได้มีผลงานวิจัยมากมาย ไม่ได้ถูกเชิญไปบรรยายรอบโลก แต่เป็นแพทย์ที่มีทักษะทางคลินิกในการวินิจฉัยโรคที่หาตัวจับยากท่านหนึ่ง

วันนั้นท่านได้รับการปรึกษาให้ไปตรวจผู้ป่วยชายคนหนึ่งที่ถูกสงสัยว่าเป็นโรค ALS (Amyotrophic lateral sclerosis) ซึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดหนึ่งที่เกิดจากเซลล์ประสาทบริเวณไขสันหลังและสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อถูกทำลายลง ซึ่งมีพยากรณ์โรคแย่มาก

ผู้ป่วยชายในวัย 50 ปีต้นๆมีลักษณะไหล่ลู่ พูดไม่ชัด ซูบผอมจากการกลืนอาหารไม่ได้ ตรวจพบการอ่อนแรงที่ช่วงแขน เมื่ออาจารย์มาพบผู้ป่วย ท่านได้ซักประวัติอย่างตั้งใจ ทำการตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างละเอียด และเขาต้องแปลกใจเมื่ออาจารย์ใส่ถุงมือและตรวจลิ้นของผู้ป่วย

แล้วอาจารย์แพทย์ก็ออกมาอภิปรายนอกห้องผู้ป่วยและฟันธงว่าผู้ป่วยไม่ได้เป็น ALS แต่น่าจะเป็นมะเร็งที่โคนลิ้น เขาจึงถามอาจารย์ว่าแล้วอาการอ่อนแรงที่แขนเกิดจากอะไร ท่านจึงอธิบายว่าผู้ป่วยมีอาชีพช่างไม้ และ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ไปติดตั้งฝ้าเพดานจึงเกิดอาการอักเสบของข้อไหล่

และผลการตรวจเพิ่มเติมต่างๆร่วมกับการตรวจชิ้นเนื้อก็ยืนยันการวินิจฉัยของอาจารย์ กรณีผู้ป่วยรายนี้ได้สอนให้เขาตระหนักว่า ไม่ว่าจะมีความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีหรือข้อมูลข่าวสารอะไรแค่ไหน การตั้งใจซักประวัติ และตรวจร่างกายที่เป็นหลักพื้นฐานทางการแพทย์ก็ยังคงสำคัญ

อ้างอิง: https://kevinmd.com/2024/08/lessons-learned-at-the-bedside-stick-with-the-basics.html
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก: stablediffusionweb.com

Physician burnout: the impact of social media on mental health and the urgent need for changeภาวะ burnout ในแพทย์: ผลกระ...
26/05/2025

Physician burnout: the impact of social media on mental health and the urgent need for change
ภาวะ burnout ในแพทย์: ผลกระทบจากโลกออนไลน์ต่อสุขภาพจิตซึ่งต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน

บทความนี้ตีพิมพ์ใน KevinMD.com เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 โดยนายแพทย์ Aaron Morgenstein ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ โดยเกริ่นว่าภาวะ Burnout ในแพทย์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนถึงร้อยละ 63 สาเหตุมีมากมายดังที่ทราบกันดี โลกออนไลน์ก็เป็นตัวการที่้สำคัญตัวหนึ่งที่เราอาจมองข้ามไป

โลกออนไลน์กินเวลาอันมีค่าของเราไปมาก เวลาที่อาจนำไปใช้ในการเสริมสร้างสุขภาพกายและใจอื่นๆได้ และบางครั้งมุมมองของเราในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิต การเมือง และอื่นๆ ยังอาจถูกดัดแปลงไปโดยคนในโลกออนไลน์ แม้โลกออนไลน์จะถูกออกแบบให้คนมีปฏิสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนกัน และทำให้เรามีความสุขได้ แต่มันก็เป็นดาบสองคมเพราะหลายครั้งก็สร้างความวิตกกังวล อิจฉา ไปจนถึงโกรธเกลียดกันได้เช่นกัน และอย่าคิดว่าโลกออนไลน์ส่งผลกระทบเฉพาะกับวัยรุ่น แม้วัยผู้ใหญ่ที่คิดว่ามีวุฒิภาวะดีแล้วก็สามารถได้รับผลกระทบเชิงลบจากมันเช่นกัน

เราอาจใช้โลกออนไลน์ในการพยายามลดความรู้สึกด้านลบเพื่อจะลดภาวะ burnout แต่มันก็อาจยิ่งกระพือความเครียด ความโกรธ และอารมณ์ด้านลบอื่นๆให้ยิ่งเพิ่มขึ้นมาได้ ด้วยความเห็นหรือคำวิจารณ์ที่ไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดหวัง หรือสิ่งที่เห็นยิ่งทำให้เรารู้สึกแย่และต่ำต้อยลงไปยิ่งกว่าเดิม ตัวอย่างสาเหตุที่ทำให้โลกออนไลน์เพิ่มภาวะ burnout ของแพทย์ ได้แก่

- เมื่อเราเปรียบเทียบชีวิตของเรากับของคนอื่น
- พลังลบจากการโพสของผู้คนบนโลกออนไลน์
- ความกลัวว่าจะพลาดเรื่องสำคัญๆ
- การบุลลี่กันในโลกออนไลน์
- การเสพติดโลกออนไลน์

ผู้เขียนจึงแนะนำว่าแทนที่จะใช้เวลามากมายไปในโลกออนไลน์ ก็ควรจะนำเวลามาทำกิจกรรมต่างๆในโลกแห่งความจริงดีกว่า พักออกจากโลกออนไลน์มาเสียบ้าง ใช้เวลากับมันในส่วนที่เป็นประโยชน์ เช่น ให้/ติดตามข้อมูลข่าวสาร ค้นหาข้อมูลความรู้ต่างๆ ติดต่อสื่อสารกับคนอื่น ใช้เพื่อความบันเทิงเป็นครั้งคราว โดยคิดเสมอว่าหากมีอะไรทำในชีวิตจริงที่เกิดประโยชน์มากกว่า ก็ควรไปทำสิ่งนั้นๆมากกว่าการจะมาทิ้งเวลาไปในโลกออนไลน์

เราจะเชื่อตามบทความนี้หรือไม่ก็ขึ้นกับบริบทของแต่ละคน แพทย์บางคนอาจมีวิจารณญาณในการใช้โลกออนไลน์ที่ดีอยู่แล้ว บางคนอาจมีภูมิคุ้มกันที่ดีต่อพลังลบในโลกออนไลน์ หรือบางคนอาจบอกว่าโลกออนไลน์นี่เองที่ทำให้ยังทำงานอยู่ได้ไม่ตกอยู่ในภาวะ burnout ไปเสียก่อน แต่ก็ต้องยอมรับว่าการใช้เวลามากเกินไปในโลกออนไลน์ก็ทำให้การทำกิจกรรมดีๆหลายอย่างในชีวิตจริงถูกแบ่งแย่งเวลาไป

อ้างอิง: https://kevinmd.com/2023/05/physician-burnout-the-impact-of-social-media-on-mental-health-and-the-urgent-need-for-change.html
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก: www.linkedin.com

How do you know when it’s time to leave clinical practice?คุณจะทราบได้อย่างไรว่าถึงเวลาเลิกทำเวชปฏิบัติแล้ว?บทความนี้ตีพ...
07/05/2025

How do you know when it’s time to leave clinical practice?
คุณจะทราบได้อย่างไรว่าถึงเวลาเลิกทำเวชปฏิบัติแล้ว?

บทความนี้ตีพิมพ์ลงใน KevenMD.com โดยแพทย์หญิง Maureen Gibbons ซึ่งทำงานด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ผู้เขียนเกริ่นถึงเพื่อนที่ทำงานด้านเดียวกันเพียง 5 ปีหลังจบการฝึกอบรมก็ลาออก ในขณะที่เธอเคยมองตัวเองว่าคงทำงานด้านนี้ไปจนกว่าจะทำไม่ไหว

เธอคิดว่าจริงๆแล้วแพทย์ไม่ควรลาออกกันหมดเพราะยังมีผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลบริบาลอยู่มากมาย แต่แพทย์ก็ควรทำงานเพราะรักที่จะทำไม่ใช่ต้องฝืนทำเพราะจำยอมจากภาระผูกพันต่างๆ เธอแนะนำว่าหากเราเริ่มรู้สึกสงสัยตัวเองให้ลองมองย้อนไปในอดีตตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนแพทย์ ความดีใจที่สอบติด ความภูมิใจเมื่อได้สวมเสื้อกาวน์ครั้งแรก ความสุขในวันที่เรียนจบเป็นแพทย์ แล้วลองตรองดูว่าเรายังสามารถสร้างความรู้สึกและพลังบวกนั้นขึ้นมาใหม่ได้หรือไม่

และแน่นอน การลาออกหรือเลิกทำเวชปฏิบัติอาจไม่ใช่คำตอบของปัญหาภาวะ burnout ความขัดแย้งในใจ ความเหนื่อยล้า แต่คำตอบอาจเป็นการพยายามวางตัวเองกับงานในรูปแบบใหม่ ดึงความรักความมุ่งมั่นในงานกลับคืนมา แต่หากในที่สุดแล้วคิดว่าคงจะเดินจากไปแน่นอน ก็ขอให้ตัดสินใจโดยทำร่วมกับคนอื่นที่คิดว่าเชื่อถือและปรึกษาได้ แม้ว่าการเป็นแพทย์นั้นจะสำคัญก็จริงแต่การใช้ชีวิตก็สำคัญเช่นกัน

อ้างอิง:https://kevinmd.com/2025/02/how-do-you-know-when-its-time-to-leave-clinical-practice.html
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก: www.medicalrepublic.com.au

How doctors can regain trust in the age of misinformationแพทย์จะสามารถกู้คืนความเชื่อถือในยุคข้อมูลข่าวสารลวงได้อย่างไรบ...
11/04/2025

How doctors can regain trust in the age of misinformation
แพทย์จะสามารถกู้คืนความเชื่อถือในยุคข้อมูลข่าวสารลวงได้อย่างไร

บทความนี้เขียนโดยศัลยแพทย์ทางเดินปัสสาวะชื่อนายแพทย์ Neil Baum และลงใน KevinMD.com เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2568 โดยเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามที่ว่า คุณเคยรู้สึกประหลาดใจไหมที่ผู้ป่วยคนหนึ่งจะยอมเล่าเรื่องต่างๆบางเรื่องของเขาให้แพทย์ฟังในห้องตรวจ โดยที่ข้อมูลเหล่านั้นเขาไม่เคยเล่าให้ใครฟังแม้แต่ญาติหรือคนสนิท

แต่ปัจจุบันความเชื่อถือในแพทย์ได้เลือนหายไปมากแล้ว โดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปัจจุบันผู้ป่วยมักจะมาพบแพทย์ด้วยข้อมูลต่างๆมากมาย ที่สำคัญคือหลายอย่างเป็นข้อมูลลวงจากแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งแพร่กระจายอย่างรวดเร็วจากอคติ และยิ่งถูกขยายออกง่ายและเร็วขึ้นด้วย AI ซึ่งไม่ได้ถูกต้องเสมอไป

แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อกู้คืนความเชื่อถือนี้กลับคืนมา

ประการแรก เราต้องต่อสู้กับข้อมูลลวงแบบเชิงรุก โดยให้ข้อมูลที่ถูกต้อง มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และสอนให้ผู้ป่วยรู้จักค้นหาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ พยายามเผยแพร่ข้อมูลจริงให้ถึงผู้ป่วยด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย และทำในทุกสื่อ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์

เราต้องสื่อสารข้อมูลที่อาจทำให้เกิดการลดทอนความน่าเชื่อถือ (หากไม่เปิดเผย) เช่น ผลข้างเคียงของยา ภาวะแทรกซ้อนของการรักษา ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ ควรแชร์ข้อมูลต่างๆมากกว่าการปกปิก ความโปร่งใสนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยหมดความเชื่อถือ ทั้งนี้รวมถึงการทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบันทึกการรักษาพยาบาลได้ มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกการรักษาพยาบาล ด้วยการบอกข้อมูลต่างๆ เช่น ผลการตรวจ การเปลี่ยนแปลงอาการ เป็นต้น อย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา

การสร้างความเชื่อถือรวมถึงความเข้าอกเข้าใจ เข้าใจในความแตกต่างหลากหลายและใส่ใจต่อความประสงค์ของเขา รู้จักรับฟัง และให้โอกาสผู้ป่วยให้ข้อมูลป้อนกลับ ซึ่งการขอข้อมูลป้อนกลับอาจทำด้วยการถามตรงๆหรือเป็นแบบสอบถามแบบไม่ระบุตัวตนก็ได้ การตอบสนองต่อข้อมูลป้อนกลับอย่างเหมาะสมจะเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นของผู้ป่วยต่อแพทย์และระบบสาธารณสุข

สุดท้าย การลงทุนในการศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมและพัฒนาศักยภาพของแพทย์ให้ดีขึ้นก็เป็นการสร้างความเชื่อมั่นที่ดีอย่างหนึ่ง ความรู้และทักษะที่ทันสมัยจะทำให้ผู้ป่วยเชื่อถือและวางใจ และยังทำให้ตัวแพทย์เองมีความมั่นใจในตัวเองที่จะรักษาพยาบาลผู้ป่วยตรงหน้ามากยิ่งขึ้น

อ้างอิง: https://kevinmd.com/2025/04/how-doctors-can-regain-trust-in-the-age-of-misinformation.html
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก: thedoctorweighsin.com

Upcoming event... 3-5 พฤษภาคม​ 2568  #ค่ายจริยธรรมสัญจรครั้งที่22
11/03/2025

Upcoming event...
3-5 พฤษภาคม​ 2568

#ค่ายจริยธรรมสัญจรครั้งที่22

🩸“น้องหมอ ขอเลือด”🩸👥 สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์แห่งประเทศไทย ในพระอุปถัมภ์ฯ (สพท.) ร่วมกับสภากาชาดไทย จัดโครงการ “น้องหมอ...
03/02/2025

🩸“น้องหมอ ขอเลือด”🩸

👥 สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์แห่งประเทศไทย ในพระอุปถัมภ์ฯ (สพท.) ร่วมกับสภากาชาดไทย จัดโครงการ “น้องหมอ ขอเลือด” กิจกรรมบริจาคโลหิต เพื่อส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษาแพทย์ รวมถึงประชาชนทั่วไป ได้ร่วมบริจาคโลหิต และตระหนักถึงความสำคัญของการบริจาคเลือด

✴️ กิจกรรมภายในงานประกอบไปด้วย:

🔹 นิสิต​นักศึกษาแพทย์ 500 คนแรกที่ลงทะเบียนบริจาคโลหิต จะได้รับอาร์ตทอยสุดพิเศษจากทาง Popmart Thailand ! 🧸
🔹 การบริจาคโลหิต
🔹 การเสวนาเชิงความรู้เกี่ยวกับการบริจาคโลหิต
🔹 ซุ้มถ่ายภาพ
🔹 มินิคอนเสิร์ตจากเหล่านิสิตนักศึกษาแพทย์และนักเรียนแพทย์ทหาร

ในการนี้ สพท. และสภากาชาดไทย จึงขอเชิญชวนทุกท่านเข้าร่วมงานบริจาคโลหิต​ ซึ่ง​จะจัดขึ้นในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เวลา 9.00 - 15.30 น. ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย

🩸ร่วมต่อชีวิต ด้วยสายโลหิตของท่าน🩸

#น้องหมอขอเลือด
#สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์แห่งประเทศไทย

นิสิต​นักศึกษา​แพทย์​รู้ไว้หน่อยก็ดีนะครับ...
03/02/2025

นิสิต​นักศึกษา​แพทย์​รู้ไว้หน่อยก็ดีนะครับ...

ที่มาของคำว่า ”ราวด์“ ที่คุณหมอหรือคุณพยาบาลพูดกัน เวลาไปเดินตรวจและดูแลผู้ป่วยในหออภิบาลผู้ป่วยใน

ประวัติศาสตร์มักถูกลบเลือนไปตามกาลเวลา

ราวด์ มาจากภาษาฝรั่งนะครับ
มาจากคำว่า rounds (ต้องเติม s) เป็นคำนามพหูพจน์หมายถึงการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล ไม่ใช่คำกิริยา เวลาใช้จึงจำเป็นต้องมีคำกิริยานำหน้า "make rounds" "doing rounds" หรือคำคุณศัพท์นำหน้า "physician rounds" แต่คนไทยเรามักนำคำนี้มาใช้ในลักษณะของคำกิริยา v + object เช่น "ราวด์วอร์ด" หรือ "น้องได้ราวด์คุณลุงสุรเชษฐ์เตียง 5 รึยัง?" เป็นต้น

rounds ทำไมจึงหมายถึงการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล

คนแรกที่เริ่มใช้คำนี้คือ William Osler หนึ่งในสี่ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาล Johns Hopkins ใน Baltimore ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ถึงแม้ว่า Hopkins จะไม่ได้เป็นโรงเรียนแพทย์แห่งแรกหรือกลุ่มแรกๆในสหรัฐอเมริกาแต่ถือเป็นโรงเรียนแพทย์แห่งแรกที่ริเริมให้มีการอบรมแพทย์ประจำบ้านหรือการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทาง แม้กระทั่งคำว่า Resident ที่เรียกแพทย์ผู้ฝึกอบรมก็เริ่มขึ้นที่นี่เช่นกัน เนื่องจากแพทย์ผู้ฝึกอบรมจำเป็นต้องพำนักอาศัยอยู่ภายในโรงพยาบาลเพราะการทำงานหนักหนาสาหัสมาก ระบบการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางจึงถูกเรียกว่า Residency Program ในประเทศไทยเราก็นำมาเป็นต้นแบบส่วนหนึ่งของการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางให้กับคุณหมอไทยจนถึงปัจจุบัน ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ที่ Hopkins เปิดฝึกอบรม นักเรียนแพทย์หลังจากจบต้องทำงานเป็นแพทย์ฝึกหัดก่อน 1 ปีเรียกว่า Internship ก่อนจะเข้ามาเป็น Resident ซึ่งใช้เวลาในการฝึกอบรม 5-7 ปีเดินตามอาจารย์แพทย์สอนแบบจับมือทำ mentorship งานหนักมากเพราะตอนนั้นในสหรัฐยังไม่มีจำกัดชั่วโมงทำงานหรือ duty hour regulation

William Osler เป็นอายุรแพทย์ นอกจากเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Internal Medicine Residency Program แห่งแรกในสหรัฐอเมริกา ยังเป็นผู้ริเริ่มการนำนักเรียนแพทย์ชั้นปีที่ 3 และ 4 (สองปีสุดท้าย ที่สหรัฐเรียนแพทย์ 4 ปี) ออกจากห้องเรียนมาเป็นเสมียนประจำหอผู้ป่วย จึงเป็นที่มาของคำว่า clinical clerkship ที่ใช้สำหรับนักเรียนแพทย์จนถึงปัจจุบัน งานที่ต้องทำก็เปรียบเหมือน เสมียน นั่นเอง มีหน้าทีดูแลผู้ป่วยรับผิดชอบคนไข้โดยเฉลี่ยในสมัยนั้น 6 เตียงต่อคน ดูแลระเบียนผู้ป่วย ทำงานทุกอย่าง เก็บฉี่ เจาะเลือด ดูดเสมหะ รายงานประวัติคนไข้เมื่ออาจารย์หรือแพทย์ประจำบ้านสอบถาม William Osler จะเดินนำแพทย์ประจำบ้าน นักเรียนแพทย์ที่เป็นเสมียนหอนั้น และพยาบาล มาเรียนกับคนไข้ข้างเตียง สัปดาห์ละ 3 วันทุกเช้า กิจกรรมดังกล่าวถูกเรียกในตอนนั้นว่า "make rounds"

อาคารหอผู้ป่วยในยุคแรกที่ Hopkins สร้างเสร็จใหม่ๆ เป็นสถาปัตยกรรมแบบควีนแอนน์ เป็นสถาปัตยกรรมบาโรกแบบอังกฤษในรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์แห่งเกรตบริเตน (ครองราชย์ คศ 1702-1714) ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมากในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อาคารจะมีลักษณะเป็นรูปแปดเหลี่ยมลากด้วยบันไดวนไต่จากด้านข้างขึ้นสู่ด้านบนเพื่อเชื่อมกับหอผู้ป่วยต่างๆ การเดินขึ้นไปรอบโครงสร้างแปดเหลี่ยมในทุกเช้าของ Osler แพทย์ประจำบ้าน เสมียนวอร์ด และ พยาบาล ถูกเรียกว่า "make rounds" สถาปัตยกรรมดังกล่าวยังถูกอนุรักษ์ไว้ใน Hopkins 2025 เหลือเพียงสามอาคารเท่านั้น คืออาคารอำนวยการตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบโรงพยาบาล Johns Hopkins ทั้งหมด 17 อาคารในปี 1889 John Shaw Billings ขนาบด้วยหอผู้ป่วยชายและหญิงเดิม ปัจจุบันใช้เป็นที่ตั้งของ Brady Urological Institute และ Wilmer Eye Institute

Courtesy of 1412 Cardiology, originally posted in March 2015

ที่อยู่

Nonthaburi
11000

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ จริยธรรมนิสิตนักศึกษาแพทย์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

ประเภท