ต้อเนื้อ ตาพร่ามัว น้ำตาไหล By Premium Health Shop 061 846 8228

ต้อเนื้อ ตาพร่ามัว น้ำตาไหล By Premium Health Shop 061 846 8228 วิตามินฟื้นฟู ดูแล ดวงตา

โลกเปลี่ยนโรคก็เปลี่ยนเหมือนกันแต่ก่อนเกิดเฉพาะผู้สูงวัย ปัจจุบัน เกิดได้ทุกวัยค่ะ
23/10/2018

โลกเปลี่ยน
โรคก็เปลี่ยนเหมือนกัน
แต่ก่อนเกิดเฉพาะผู้สูงวัย ปัจจุบัน เกิดได้ทุกวัยค่ะ

นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง…..หน้าที่ของสมองยังมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว...
31/08/2018

นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง…..

หน้าที่ของสมองยังมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหวและความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ แต่คนเรามักไม่รู้ตัวเองว่าพฤติกรรมบางอย่างที่กระทำลงไป นอกจากจะเป็นการทำร้ายร่างกายไม่พอ ยังทำร้ายสมองด้วย

1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม

2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคความจำสั้น

3.การสูบบุหรี่​ เป็นสาเหตุให้เกิดโรคสมองฝ่อ​ และโรคอัลไซเมอร์

4. ทานของหวานมากเกินไป การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง

5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไป จะทำให้ออกซิเจนในสมองลดปริมาณลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง

6.​การอดนอน​ การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน​ การอดนอนเป็นเสลานานจะทำให้เซลล์สมองตาย

7. การนอนคลุมโปง การนอนคลุมโปงจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนในขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง เหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

9.​ขาดการใช้ความคิด​ การคิด​ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง​ การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ

10.​เป็นคนไม่ค่อยพูด​ ทักษะการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

ปรึกษาปัญหาสุขภาพ​ ติดต่อด่านล่างนี้ครับ👇👇

Tel. 096-825-6514

ตาบอดสี (Color Blindness/Color Vision Deficiency)ตาบอดสี เป็นภาวะการมองเห็นสีบางสีได้ไม่ชัดเจนหรือผิดเพี้ยนไปจากผู้ที่มี...
30/08/2018

ตาบอดสี (Color Blindness/Color Vision Deficiency)
ตาบอดสี เป็นภาวะการมองเห็นสีบางสีได้ไม่ชัดเจนหรือผิดเพี้ยนไปจากผู้ที่มีสายตาผิดปกติ โดยมักพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
หากคุณมองไม่เห็นตัวเลขในภาพด้านล่างนี้ อาจสันนิษฐานได้ว่าคุณเป็นตาบอดสี
การมองเห็นสีของดวงตาจะต้องอาศัยเซลล์หลังจอตา 2 ชนิด
เป็นส่วนสำคัญในการแยกสีที่เรามองเห็น คือ เซลล์รูปแท่ง (Rod Cell) ที่มีความไวต่อการรับแสงแบบสลัว โดยใช้สำหรับการมองเห็นในเวลากลางคืน แต่สีที่มองเห็นจะเป็นสีในโทนดำ ขาว และเทาเท่านั้น
ส่วนอีกชนิด คือ เซลล์รูปกรวย (Cone Cell) ที่มีความไวในการรับแสงที่สว่างกว่าเซลล์รูปแท่ง และสามารถแยกแสงสีต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน
โดยเซลล์รูปกรวยนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดย่อย คือ เซลล์รูปกรวยชนิดที่ไวต่อแสงสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน ซึ่งในคนปกติจะมีเซลล์รูปกรวยครบทั้ง 3 ชนิดที่ไวต่อแสง แต่ละสีก็จะส่งสัญญาณไปยังสมองในการแยกสี และการผสมของแสงสีต่าง ๆ จากเซลล์นี้ จึงทำให้คนปกติสามารถมองเห็นสีได้หลายโทนสี

ตาบอดสีเป็นภาวะพบได้บ่อยในผู้ชายประมาณ 8% และพบในผู้หญิงได้ประมาณ 0.4% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งสีที่คนมักเป็นตาบอดสี คือ สีเขียว เหลือง ส้มและสีแดง ส่วนภาวะตาบอดสีทุกสี (Achromatopsia) จะพบได้น้อยมาก

อาการของตาบอดสี

ภาวะตาบอดสีในแต่ละบุคคลอาจมีอาการแตกต่างกันออกไปตามชนิดของตาบอดสีที่เป็น แต่อาจจะสังเกตได้จากสัญญาณเตือนเหล่านี้

จดจำและแยกสีต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน ทำให้เกิดความสับสนในการบอกสีที่เห็น เช่น แยกความต่างของสีเขียวและแดงไม่ได้ แต่สามารถแยกสีน้ำเงินและเหลืองได้ง่าย
สามารถมองเห็นสีได้หลากหลายสี แต่บางสีอาจมองเห็นต่างไปจากคนอื่น
มองเห็นเฉพาะบางโทนสีเท่านั้น ซึ่งต่างจากคนปกติที่จะสามารถมองเห็นสีได้มากกว่าร้อยสี
ในบางรายสามารถมองเห็นได้เฉพาะสีดำ ขาว และเทา แต่แทบไม่พบตาบอดสีประเภทนี้
อาการของภาวะตาบอดสีส่วนใหญ่สามารถพบได้ตั้งแต่ในวัยเด็ก เนื่องจากเซลล์และเส้นประสาทในดวงตาและสมองจะถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่เกิด ผู้ปกครองอาจลองสังเกตบุตรหลานด้วยอาการเบื้องต้นว่าเด็กที่มีอายุเกิน 4 ขวบเริ่มจดจำและบอกสีต่าง ๆ ไม่ถูกต้อง หรือเลือกสิ่งของที่มีสีต่างกันไม่ได้ อาจจะมีแนวโน้มในการเกิดภาวะตาบอดสีที่สูงมาก ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่แทบไม่รู้ว่าตนเองเกิดตาบอดสีขึ้น

สาเหตุของตาบอดสี

ตาบอดสีเกิดได้จากหลายสาเหตุดังนี้

กรรมพันธุ์ เป็นสาเหตุหลักของตาบอดสีได้มากที่สุด หากบุคคลที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นตาบอดสีจะส่งต่อพันธุกรรมไปยังรุ่นต่อไปโดยการถ่ายทอดผ่านยีนด้อยบนโครโมโซมเพศชนิดเอ็กซ์ (Chromosome X) ซึ่งยีนโครโมโซมเพศนี้จะมีหน้าที่ในการกำหนดเพศชายหรือเพศหญิง โดยโครโมโซมเพศชายจะเป็นเอ็กซ์วาย (Chromosome XY) และเพศหญิงเป็นเอ็กซ์เอ็กซ์ (Chromosome XX) เมื่อตาบอดสีเป็นการถ่ายทอดผ่านบนโครโมโซมเอ็กซ์ จึงทำให้สามารถพบตาบอดสีในเพศชายได้มากกว่าเพศหญิงในรุ่นลูก ในขณะที่เพศหญิงอาจเป็นเพียงพาหะที่สามารถถ่ายทอดยีนที่ผิดปกติไปสู่ลูกหลานได้แทน นอกจากนี้ยังอาจเกิดการถ่ายทอดทางพันธุกรรมข้ามรุ่นได้ เช่น ตาเป็นตาบอดสี มารดาอาจเป็นพาหะ และพบตาบอดสีในหลานชายแทน

สาเหตุอื่น ในบางราย ตาบอดสีอาจเกิดได้จากสภาวะบางอย่างของร่างกาย เช่น

อายุที่เพิ่มมากขึ้น อาจส่งผลให้เกิดการเสื่อมของเซลล์ได้ตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น
โรคเกี่ยวกับด้านดวงตาหรือการบาดเจ็บบริเวณจอตา เช่น โรคต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม ต้อกระจก หรือการได้รับบาดเจ็บบริเวณดวงตา
โรคอื่น ๆ เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง โรคเบาหวาน หรือโรคพาร์กินสัน
ผลข้างเคียงของการใช้ยาบางชนิด
การได้รับสารเคมีบางชนิดเป็นระยะเวลานาน เช่น คาร์บอนไดซัลไฟด์หรือสไตรีน อาจส่งผลต่อการสูญเสียการมองเห็นสี
การวินิจฉัยตาบอดสี

แพทย์หรือจักษุแพทย์จะวินิจฉัยผู้ป่วยโดยใช้แผ่นภาพทดสอบตาบอดสี เพื่อดูความสามารถในการแยกแยะสี ซึ่งรูปแบบแผ่นภาพที่ใช้ทดสอบมีอยู่หลากหลายประเภท แต่แผ่นทดสอบตาบอดสีที่นิยมใช้จะมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่

แผ่นภาพอิชิฮะระ (Ishihara) ในแต่ละภาพจะมีจุดสีที่ต่างกัน แพทย์จะให้ผู้ป่วยมองหาตัวเลขบนแผ่นภาพนั้น ๆ หากผู้ที่เป็นตาบอดสีจะไม่สามารถบอกตัวเลขจากภาพได้ถูกต้อง วิธีนี้สามารถคัดกรองผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่สามารถบอกได้ถึงระดับความรุนแรงของตาบอดสี
การเรียงเฉดสี (Color Arrangement) ผู้ป่วยจะต้องไล่เฉดสีที่กำหนดมาให้ โดยต้องไล่เฉดสีที่คล้ายกันให้อยู่ใกล้กันได้อย่างถูกต้อง หากผู้ป่วยเป็นตาบอดสีจะเกิดความสับสนในการเรียงสีให้ถูกต้อง
การรักษาตาบอดสี

ตาบอดสีที่เกิดจากกรรมพันธุ์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แพทย์หรือจักษุแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยสวมแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ที่มีเลนส์กรองแสงบางสีออกไป ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมองเห็นสีได้ชัดขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยมองเห็นสีได้เหมือนคนปกติ แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นตาบอดสีที่มีสาเหตุมาจากสภาวะหรือโรคประจำตัวอื่น ๆ อย่างโรคเบาหวานตา แพทย์จะรักษาจากสาเหตุหลักของโรค เพื่อช่วยให้อาการโดยรวมดีขึ้นและบรรเทาอาการแทรกซ้อนทางสายตาให้ดีขึ้นด้วย

นอกจากนี้แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยใช้เทคนิคการจดจำตำแหน่งหรือใช้ป้ายสัญลักษณ์แทนการใช้สีในบางกรณี เพื่อช่วยให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น เช่น การจำตำแหน่งของไฟจราจรตามลำดับจากบนลงล่าง หรือการใช้ป้ายเขียนบอกสีไว้ที่เสื้อผ้า จะทำให้ผู้ป่วยสามารถเลือกสีเสื้อผ้าได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเด็ก ควรมีการแจ้งครูและโรงเรียนเกี่ยวกับปัญหาตาบอดสีของเด็ก เพื่อช่วยปรับสื่อการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับเด็กให้สามารถเรียนรู้ได้ใกล้เคียงกับเด็กที่มีสายตาปกติมากขึ้น รวมไปถึงบอกกับตัวเด็กและคนรอบข้างเองว่าเกิดภาวะตาบอดสีขึ้นและควรปรับตัวอย่างไร

ภาวะแทรกซ้อนของตาบอดสี

ตาบอดสีแทบไม่พบภาวะแทรกซ้อน แต่อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงร้ายแรง โดยเฉพาะอาชีพในบางลักษณะที่ต้องอาศัยการแยกและจดจำสีในการทำงาน เช่น พนักงานขับรถ นักบิน เจ้าหน้าที่ดับเพลิง ช่างเทคนิคในห้องปฏิบัติการประจำโรงพยาบาลและเภสัชกร หรือผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการถ่ายภาพ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการในการเรียนรู้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเด็ก

การป้องกันตาบอดสี

ตาบอดสียังไม่สามารถป้องกันการเกิดได้อย่างเต็มที่ แต่สามารถเลี่ยงหรือลดโอกาสการเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ในวัยเด็ก โดยควรมีการตรวจคัดกรองตาบอดสีและทดสอบสายตาในเด็กอายุประมาณ 3-5 ขวบ หรือเด็กควรได้รับการตรวจสายตาอย่างน้อย 1 ครั้งก่อนเข้าโรงเรียน แต่หากเป็นบุคคลที่มีคนในครอบครัวเป็นตาบอดสี ควรมีการตรวจเช็คสายตาอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ผู้ที่ไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับบุคคลที่เป็นตาบอดสี ควรสังเกตความผิดปกติของสายตาตนเองเช่นกัน เนื่องจากตาบอดสีเกิดได้จากสาเหตุอื่น เมื่อสงสัยว่ามีปัญหาทางด้านสายตาหรือการมองเห็นสีที่ผิดปกติไป ควรรีบไปพบแพทย์หรือจักษุแพทย์ เพื่อค้นหาต้นเหตุความผิดปกติและได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี

ถ้าคุณเห็น 38 แสดงว่า ตาซ้ายอ่อนแอถ้าคุณเห็น 83 แสดงว่า ตาขวาอ่อนแอ ถ้าคุณเห็น 88 แสดงว่า ดวงตาทั้งคู่แข็งแรงถ้าคุณเห็น ...
26/08/2018

ถ้าคุณเห็น 38 แสดงว่า ตาซ้ายอ่อนแอ
ถ้าคุณเห็น 83 แสดงว่า ตาขวาอ่อนแอ
ถ้าคุณเห็น 88 แสดงว่า ดวงตาทั้งคู่แข็งแรง
ถ้าคุณเห็น 33 แสดงว่า ดวงตาทั้งคู่อ่อนแอ
ปัญหาตา ปรึกษาเรา 061 846 8228

🔥เพราะดวงตาคือหน้าต่างของชีวิต ควรใส่ใจสักนิดอย่าคิดมองข้าม✔วุ้นในตาเสื่อม ✔ต้อเนื้อ ✔ต้อกระจก ✔ต้อลม✔ต้อหิน ✔จอประสาทตา...
24/08/2018

🔥เพราะดวงตาคือหน้าต่างของชีวิต ควรใส่ใจสักนิดอย่าคิดมองข้าม
✔วุ้นในตาเสื่อม ✔ต้อเนื้อ ✔ต้อกระจก ✔ต้อลม
✔ต้อหิน ✔จอประสาทตาเสื่อม ✔สายตาฝ้าฟาง
✔ตามัว ✔เคืองคันแสบ ✔กลางคืนมองไม่ชัด
✔ตาแห้ง ✔เยื่อบุตาอักเสบ ✔มองไม่ชัด
วีโว่- VIEWO เหมาะสำหรับ
➡ผู้ที่มีสภาพตาสั้นเทียม, สายตาสั้น ,สายตายาว, สายตาเอียง
➡ผู้มีอาการตาแห้ง ต้องหยดน้ำตาเทียม เป็นประจำ
➡ผู้ที่ใช้ คอนแทคเลนส์ มาเป็นระยะเวลานาน
➡ผู้ที่ มีอาการเบาหวานขึ้นตา
➡โทรเลย 061 846 8228
➡Line : (มีไลน์ข้างหน้าด้วยนะค่ะ)

จอประสาทตาเสื่อมคือ ภาวะที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสาเหตุจากจุดรับภาพตรงกลาง...
23/08/2018

จอประสาทตาเสื่อม
คือ ภาวะที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสาเหตุจากจุดรับภาพตรงกลางของจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งโรคจอประสาทตาเสื่อมเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและประเภท
โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง มีจุดสีเหลืองบริเวณจอรับภาพตรงกลางของประสาทตาซึ่งเรียกว่า ดรูเซ่น สะสมอยู่ใต้จอประสาทตา จุดสีเหลืองนี้ทำลายเซลล์รับแสง ซึ่งนำไปสู่การมองเห็นที่บิดเบี้ยว โรคมักแสดงอาการอย่างช้า ๆ และในบางกรณีอาจกลายเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกได้
จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก พบเพียง 10 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด เกิดจากเส้นเลือดฝอยด้านหลังจอประสาทตาผิดปกติ ซึ่งมีของเหลวในหลอดเลือดรั่วไหลไปโดนจุดรับภาพ ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างมากทั้งแบบถาวรและเฉียบพลัน
อาการจอประสาทตาเสื่อม
อาการจอประสาทเสื่อมชนิดแห้ง อาการในช่วงแรก ผู้ป่วยอาจมองเห็นภาพเบลอและจุดดำหรือจุดบอดตรงกลางภาพ เมื่อเวลาผ่านไป จุดดำในภาพจะเริ่มขยายใหญ่ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็น ทำให้อ่านหนังสือลำบากหรือมองเห็นรายละเอียดไม่ชัด
อาการจอประสาทเสื่อมชนิดเปียก ทำให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพบิดเบี้ยว พร่ามัว เห็นจุดดำขนาดใหญ่ในภาพซึ่งเป็นผลมาจากการที่เลือดไหลไปอยู่ในจุดรับภาพ
อาการโดยทั่วไปที่เหมือนกันของโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้ง 2 ประเภท มีดังนี้
 มองภาพบิดเบี้ยว
 มองในที่สว่างไม่ชัด หรือแพ้แสง
 ปรับสายตาจากการมองเห็นในที่มืดมาที่สว่างไม่ค่อยได้
 สูญเสียความสามารถในการมองเห็น มีจุดดำหรือเงาบังอยู่ตรงกลางภาพ
 เห็นสีผิดเพี้ยน
สาเหตุของจอประสาทตาเสื่อม
โรคจอประสาทตาเสื่อมนี้เป็นไปตามวัย สาเหตุเกิดจากจุดรับภาพซึ่งอยู่ตรงกลางจอประสาทตามีปัญหา โดยจุดรับภาพนี้เป็นจุดที่มีความไวต่อแสง ช่วยในการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ให้เห็นได้ชัดเจนที่สุดของจอประสาทตา
จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง เกิดจากเซลล์รับแสงในจุดรับภาพเริ่มเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ ตามวัยที่เพิ่มขึ้น อาจมีของเสียสะสมอยู่ในจอประสาทตาซึ่งเรียกว่าดรูเซ่น และเซลล์รับแสงในจุดรับภาพมีจำนวนน้อยลง การมองเห็นบริเวณกลางภาพแย่ลง ทำให้ต้องใช้แสงสว่างมากกว่าปกติเมื่อต้องอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมระยะใกล้
จอประสาทเสื่อมชนิดเปียก เส้นเลือดฝอยเกิดใหม่ใต้จุดรับภาพขยายจำนวนมากขึ้น ถ้าเส้นเลือดฝอยก่อตัวผิดตำแหน่ง ทำให้ส่งผลเสียมากกว่าผลดีเพราะของเหลวในเส้นเลือดจะไหลซึมเข้าตา และทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานของบริเวณจุดรับภาพลดลง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม
โอกาสเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมนั้นเกิดได้จากหลายปัจจัย ได้แก่
 อายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
 เผชิญแสงแดดหรือแสงอัลตราไวโอเลตเรื้อรัง
 น้ำหนักเกินมาตรฐาน
 สูบบุหรี่
 ดื่มสุรา
 มีประวัติบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม
 ผู้ที่เป็นโรคหัวใจหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลในหลอดเลือดสูง
 "ชุด วีโว่&โสมโกเรจินส์" เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ดูแลอย่างตรงจุด
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้นะคะ
☎️061 846 8228

หรือกดลิ้งค์นี้แล้วเพิ่มเพื่อน
https://line.me/R/ti/p/%40sununn

18/08/2018
นอมสายตาอย่างไรไม่ให้เสื่อมก่อนวัยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อุดมด้วยสารอาหารครบถ้วนสุขภาพดวงตาที่ดีเริ่มต้นจากอาหารที่...
10/08/2018

นอมสายตาอย่างไรไม่ให้เสื่อมก่อนวัย
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อุดมด้วยสารอาหารครบถ้วน
สุขภาพดวงตาที่ดีเริ่มต้นจากอาหารที่เรารับประทาน การเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ลูทีน ซิงค์ วิตามินซี วิตามินอี อาจจะช่วยชะลอหรือลดการเกิดโรคทางสายตา เช่น โรคจอตาเสื่อม (Macular Degeneration) และโรคต้อกระจก (Cataracts)
แหล่งสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพดวงตา เช่น
 ผักโขม หรือผักใบเขียวเข้มอื่น ๆ
 ปลาแซมอน ปลาทูน่า หรือเนื้อปลาที่มีกรดไขมันจำเป็นสูง
 ไข่ ถั่ว โปรตีนที่ไม่ได้มาจากเนื้อสัตว์
 ส้ม ผลไม้หรือน้ำผลไม้รสเปรี้ยว
 หอยนางรม เนื้อหมู สัตว์ปีก
 ธัญพืช
 ผักผลไม้ที่มีสีเหลืองหรือส้ม ซึ่งมีสารเบต้าแคโรทีน เช่น แครอท
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
นอกเหนือจากการรับประทานในสัดส่วนที่เหมาะสม ในแต่ละสัปดาห์ควรมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ห่างไกลจากโรคอ้วน โรคเบาหวาน ไขมันสูง หรือโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตัวโรคอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อดวงตา หรือมีปัญหาสายตาในอนาคต
ดื่มแอลกอฮอล์อย่างจำกัด
ปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ในแต่ละวันควรอยู่ในระดับที่พอดี เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางสายตาอย่างโรคจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ (Age-Related Macular Degeneration: AMD) และปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ ให้น้อยลง โดยทั่วไป ในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพปกติไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์เกิน 14 หน่วยมาตรฐานต่อสัปดาห์ และควรกระจายการดื่มออกเป็นหลาย ๆ วัน หรืออาจลองงดดื่มแอลกอฮอล์ลงบางวัน
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่เป็นผลเสียต่อดวงตาและสุขภาพโดยรวมของร่างกาย ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ โรคต้อกระจก อาจทำลายเส้นประสาทตาจนสามารถทำให้ตาบอดได้ในอนาคต
ปกป้องดวงตาจากแสงแดด
แสงแดดสามารถทำร้ายดวงตาได้เช่นเดียวกับผิวหนังของเรา และยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก โรคจอประสาทตาเสื่อม เมื่อต้องเผชิญกับแสงแดดหรืออยู่กลางแจ้งจึงไม่ควรปล่อยให้สายตาโดนแสงแดดโดยตรง สามารถสวมแว่นตากันแดดชนิดที่มีเลนส์กรองแสงยูวีเอ (UV-A) และยูวีบี (UV-B) ที่มีป้ายระบุคุณสมบัติในการกรองรังสีได้ 99-100 เปอร์เซ็นต์ เพราะจะมีประสิทธิภาพในการปกป้องได้สูงสุด นอกจากนี้ แว่นตากันแดดบางรูปทรงยังออกแบบมาเฉพาะ เพื่อช่วยถนอมสายตาให้เหมาะกับแต่ละกิจกรรม เช่น ทรงที่หน้าเลนส์และตัวเฟรมค่อนข้างโค้ง (Wrap Around) จะช่วยป้องกันแสงแดดจากทางด้านข้าง หรือแว่นตากันแดดที่ใช้เลนส์ Polarized ซึ่งเป็นเลนส์ที่เหมาะสมกับกิจกรรมกลางแจ้งและยังลดแสงสะท้อนในขณะขับรถได้ดี
พักสายตาจากหน้าจอ
การมองจอคอมพิวเตอร์ มือถือ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการตาล้า ตามัว ตาแห้ง ปวดศีรษะ มีปัญหาในการปรับโฟกัสให้มองเห็นได้ชัดเจนไปจนถึงรู้สึกปวดบริเวณคอ ไหล่ หรือหลัง เมื่อเริ่มรู้สึกว่ามีอาการตาแห้ง ควรกระพริบตาหรือพักสายตาชั่วครู่จากหน้าจอทุก ๆ 20 นาที เป็นเวลา 20 วินาที โดยให้มองออกไปไกลประมาณ 20 ฟุต และมีการขยับเคลื่อนไหวร่างกายทุก ๆ 2 ชั่วโมง อาจเปลี่ยนอิริยาบถระหว่างวันบ่อย ๆ ลุกไปเดิน แต่ไม่ควรนั่งแช่หน้าจอตลอดทั้งวัน รวมไปถึงปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือถืออุปกรณ์ให้อยู่ในระดับสายตาพอดี นั่งในท่าที่ถูกต้อง และกะระยะคอมพิวเตอร์ให้ห่างจากสายตาประมาณ 25 นิ้ว
ป้องกันดวงตาเมื่อต้องทำกิจกรรมหรืองานอันตราย
กีฬาหรืองานบางประเภทมีความเสี่ยงทำให้ดวงตาได้รับอันตราย เช่น การบาดเจ็บที่ดวงตาจากการเล่นกีฬา การทำงานในโรงงานและสถานที่ก่อสร้าง หรืองานซ่อมแซมบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการตอกตะปู ใช้สเปรย์ ก็สามารถเกิดอุบัติเหตุกับดวงตาได้ ดังนั้น การสวมแว่นตาหรืออุปกรณ์ป้องกันที่ออกแบบมาเพื่อกิจกรรมเหล่านั้นจะลดอันตรายที่เกิดกับดวงตาให้น้อยลง ซึ่งเลนส์แว่นตาส่วนใหญ่จะทำมาจากโพลีคาร์บอเนต มีความเหนียวและแข็งแรงมากกว่าพลาสติกทั่วไปถึง 10 เท่า อีกทั้งยังมีน้ำหนักเบา
โยนเครื่องสำอางเก่าทิ้งไป
เครื่องสำอางประเภทครีมหรือของเหลวมักเกิดแบคทีเรียขึ้นได้ง่ายเมื่อเก็บเกินระยะเวลาที่กำหนดไว้บนผลิตภัณฑ์ สาว ๆ หลายคนมักเสียดายหรือเก็บเครื่องสำอางไว้จนลืม การนำเครื่องสำอางเหล่านั้นมาใช้จะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ดวงตาได้ง่าย ดังนั้น ก่อนการใช้เครื่องสำอางบริเวณดวงตาจึงควรตรวจดูวันหมดอายุและลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์ว่าอยู่ในสภาพที่ดีหรือไม่ หากผลิตภัณฑ์หมดอายุก็ได้เวลาโยนทิ้งไปบ้าง รวมไปถึงไม่ควรใช้เครื่องสำอางร่วมกับกับผู้อื่น ทดลองเครื่องสำอางตัวอย่างตามร้านกับดวงตาโดยตรง และทำความสะอาดผิวหน้าทั้งก่อนและหลังการแต่งหน้าให้สะอาดหมดจด
รักษาความสะอาดของคอนแทคเลนส์
คอนแทคเลนส์เป็นวัสดุทางการแพทย์ที่ใช้กับดวงตาอย่างแพร่หลาย และก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ดวงตาได้ง่ายเมื่อไม่มีการรักษาความสะอาดที่เพียงพอ ก่อนการใส่หรือถอดเลนส์จึงควรล้างมือให้สะอาด ทำตามคำแนะนำในการใส่หรือถอดเลนส์อย่างถูกวิธี ทำความสะอาดตัวเลนส์และตลับใส่คอนแทคเลนส์ทุกครั้ง เมื่อครบ 2-3 เดือน ก็ควรเปลี่ยนตลับคอนแทคเลนส์อันใหม่ นอกจากนี้ ไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์เกินระยะเวลาที่กำหนด สวมคอนแทคเลนส์ในขณะว่ายน้ำ หรือใส่ข้ามวันโดยไม่ถอดออก เพราะมีความเสี่ยงกับการระคายเคืองหรือการติดเชื้อตามมา
รู้ปัจจัยเสี่ยงของตนเอง
นอกเหนือจากอายุที่ทำให้ดวงตาเสื่อมไปตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น โรคของดวงตาบางชนิดสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทราบความเสี่ยงด้านสุขภาพของตนเอง โดยเฉพาะประวัติเกี่ยวกับโรคทางดวงตาของบุคคลในครอบครัว การทำความเข้าใจและรู้จักปัจจัยเสี่ยงของตนเองจะช่วยให้ระมัดระวังการใช้ชีวิตด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมที่กระตุ้นให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับสายตาและคาดคะเนโอกาสในการเกิดโรค เพื่อใช้ชีวิตแบบไม่เสี่ยง
ตรวจตาเป็นประจำ
การเข้ารับการตรวจตาพร้อมกับวัดสายตาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคทางดวงตา เพราะโรคบางโรคไม่สามารถสังเกตหรือบอกได้ในช่วงแรก เช่น โรคต้อกระจก โรคจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ โรคเบาหวานขึ้นตา การตรวจตาและวัดสายตาจึงเป็นวิธีเดียวที่ช่วยค้นหาโรคบางโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้สูง
วิตามินและเกลือแร่สำคัญที่ช่วยบำรุงสายตา
การได้รับวิตามินและเกลือแร่อย่างครบถ้วนอาจจะช่วยให้การทำงานของดวงตาเป็นไปตามปกติและป้องกันการเกิดโรคของดวงตา แต่ด้วยวิถีการใช้ชีวิตเร่งรีบในสังคมปัจจุบันส่งผลให้การรับประทานอาหารเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ในแต่ละวันร่างกายได้รับวิตามินและเกลือแร่ไม่เพียงพอ รวมไปถึงมีการใช้สายตาอย่างผิดวิธี โดยเฉพาะพฤติกรรมการทำงานและการใช้ชีวิตที่มักจะเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตลอดทั้งวัน จึงควรมีการบริโภควิตามินและเกลือแร่ที่มีความสำคัญต่อดวงตาเข้าไปเพิ่มเติม เช่น
 วิตามินเอ ช่วยบำรุงจอตาหรือจอประสาทตาให้ทำงานเป็นปกติ มีสุขภาพดี สามารถผลิตน้ำตาที่ใช้หล่อลื่นภายในดวงตาให้ชุ่มชื้น และช่วยยับยั้งโรคทางสายตาอื่น ๆ เช่น อาการตาบอดกลางคืน (Night Blindness) โดยช่วยปรับการมองแสงในเวลากลางคืน โรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ หรือโรคต้อกระจก แหล่งที่พบวิตามินเอได้มาก เช่น แครอท มันเทศ ผักขม ตับ เนื้อไก่ เนื้อวัว ไข่ แต่ควรระมัดระวังการได้รับวิตามินเอในปริมาณที่มากเกินไปอาจเป็นโทษต่อร่างกาย จึงควรปรึกษาถึงปริมาณที่เหมาะสมกับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ โดยปริมาณทั่วไปที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ คือ 700 ไมโครกรัมในผู้ชาย และ 600 ไมโครกรัมในผู้หญิง
 วิตามินบี 2 หรือไรโบฟลาวิน (Riboflavin) จะช่วยควบคุมปฏิกิริยาทางเคมีที่เกี่ยวข้องกับการออกซิเดชั่น (Oxidation) ที่ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระ และการรีดักชัน (Reduction) ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ รวมไปถึงช่วยรักษาระดับของวิตามินบี 3 และวิตามินบี 6 ให้เพียงพอ การขาดวิตามินบี 2 จะทำให้เกิดโรคต้อกระจกและผิวหนังเปลี่ยนแปลงไป โดยปริมาณสำหรับผู้ใหญ่ที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน คือ 1.3 มิลลิกรัมในผู้ชาย และ 1.1 มิลลิกรัมในผู้หญิง
 วิตามินซี มีความสำคัญหลายอย่างต่อร่างกาย เช่น การสร้างคอลลาเจน ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ รวมไปถึงอาจลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจก หรือโรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ โดยแหล่งที่พบวิตามินซีไม่ได้มีเฉพาะในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอย่างส้มหรือสตรอว์เบอร์รี แต่รวมไปถึงพริกหยวก บล็อคโคลี่ มันเทศ ซึ่งปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ คือ 90 มิลลิกรัมในผู้ชาย และ 75 มิลลิกรัมในผู้หญิง
 วิตามินดี ส่วนใหญ่ได้มาจากการเปลี่ยนสารคอเลสเตอรอลใต้ผิวหนังที่ชื่อว่า 7-dehydrocholesterol ให้กลายเป็นวิตามินดีเมื่อผิวหนังโดนแสงแดด ซึ่งวิตามินดีมีส่วนช่วยในกระบวนการสำคัญหลายอย่างของร่างกาย เช่น เสริมความแข็งแรงของกระดูก ควบคุมระดับแคลเซียม หากร่างกายขาดวิตามินดีอาจทำให้เกิดโรคต้อกระจก อาการตาแดง (Pinkeye) โรคกระจกตาย้วยหรือโป่งพอง (Keratoconus)
 วิตามินอี สามารถพบได้ในกระจกตาและเลนส์แก้วตาเช่นเดียวกับวิตามินซี ซึ่งอาจช่วยป้องกันโรคต้อกระจก โรคจอตาเสื่อม และช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ซึ่งแหล่งที่พบวิตามินอีได้มาก เช่น ถั่วชนิดต่าง ๆ ผักใบเขียว น้ำมันพืช (เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าว น้ำมันดอกคําฝอย) บล็อคโคลี่ ผักโขม ซึ่งขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ คือ 15 มิลลิกรัม
 เกลือแร่และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อดวงตาและเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคทางดวงตา เช่น สังกะสี (Zinc) พบมากในชีส โยเกิร์ต เนื้อสัตว์สีแดง อาหารบางชนิดที่มีการเติมสังกะสีเสริมลงไป โดยปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ คือ 15-25 มิลลิกรัม หรือซีลีเนียม (Selenium) สามารถพบได้มากในข้าวและขนมปังบางชนิด ชีส ปลาทูน่า ไข่ไก่ ส่วนปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ คือ 55-70 ไมโครกรัม

01/08/2018

นั้งนาน อันตราย อย่างไร?

นั่งนานๆไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ
เพราะจะทำให้ป่วยเป็น
-โรคเบาหวาน
-โรคหัวใจ
-โรคหลอดเลือด
-และโรคอ้วนได้ง่ายขึ้น
เราจึงควรเปลี่ยนจากการนั่งมาเป็นการยืนหรือเดินให้บ่อยขึ้น
รวมถึงการออกกำลังกายให้ได้ 30 นาทีต่อวัน
สุขภาพของเราก็จะแข็งแรงขึ้น

จอประสาทตาเสื่อมคือ ภาวะที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสาเหตุจากจุดรับภาพตรงกลาง...
31/07/2018

จอประสาทตาเสื่อม

คือ ภาวะที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น ซึ่งพบได้มากในผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสาเหตุจากจุดรับภาพตรงกลางของจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งโรคจอประสาทตาเสื่อมเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและประเภท
โรคจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง มีจุดสีเหลืองบริเวณจอรับภาพตรงกลางของประสาทตาซึ่งเรียกว่า ดรูเซ่น สะสมอยู่ใต้จอประสาทตา จุดสีเหลืองนี้ทำลายเซลล์รับแสง ซึ่งนำไปสู่การมองเห็นที่บิดเบี้ยว โรคมักแสดงอาการอย่างช้า ๆ และในบางกรณีอาจกลายเป็นจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียกได้
จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก พบเพียง 10 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด เกิดจากเส้นเลือดฝอยด้านหลังจอประสาทตาผิดปกติ ซึ่งมีของเหลวในหลอดเลือดรั่วไหลไปโดนจุดรับภาพ ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างมากทั้งแบบถาวรและเฉียบพลัน
อาการจอประสาทตาเสื่อม
อาการจอประสาทเสื่อมชนิดแห้ง อาการในช่วงแรก ผู้ป่วยอาจมองเห็นภาพเบลอและจุดดำหรือจุดบอดตรงกลางภาพ เมื่อเวลาผ่านไป จุดดำในภาพจะเริ่มขยายใหญ่ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็น ทำให้อ่านหนังสือลำบากหรือมองเห็นรายละเอียดไม่ชัด
อาการจอประสาทเสื่อมชนิดเปียก ทำให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพบิดเบี้ยว พร่ามัว เห็นจุดดำขนาดใหญ่ในภาพซึ่งเป็นผลมาจากการที่เลือดไหลไปอยู่ในจุดรับภาพ
อาการโดยทั่วไปที่เหมือนกันของโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้ง 2 ประเภท มีดังนี้
มองภาพบิดเบี้ยว
มองในที่สว่างไม่ชัด หรือแพ้แสง
ปรับสายตาจากการมองเห็นในที่มืดมาที่สว่างไม่ค่อยได้
สูญเสียความสามารถในการมองเห็น มีจุดดำหรือเงาบังอยู่ตรงกลางภาพ
เห็นสีผิดเพี้ยน
สาเหตุของจอประสาทตาเสื่อม
โรคจอประสาทตาเสื่อมนี้เป็นไปตามวัย สาเหตุเกิดจากจุดรับภาพซึ่งอยู่ตรงกลางจอประสาทตามีปัญหา โดยจุดรับภาพนี้เป็นจุดที่มีความไวต่อแสง ช่วยในการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ให้เห็นได้ชัดเจนที่สุดของจอประสาทตา
จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง เกิดจากเซลล์รับแสงในจุดรับภาพเริ่มเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ ตามวัยที่เพิ่มขึ้น อาจมีของเสียสะสมอยู่ในจอประสาทตาซึ่งเรียกว่าดรูเซ่น และเซลล์รับแสงในจุดรับภาพมีจำนวนน้อยลง การมองเห็นบริเวณกลางภาพแย่ลง ทำให้ต้องใช้แสงสว่างมากกว่าปกติเมื่อต้องอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมระยะใกล้
จอประสาทเสื่อมชนิดเปียก เส้นเลือดฝอยเกิดใหม่ใต้จุดรับภาพขยายจำนวนมากขึ้น ถ้าเส้นเลือดฝอยก่อตัวผิดตำแหน่ง ทำให้ส่งผลเสียมากกว่าผลดีเพราะของเหลวในเส้นเลือดจะไหลซึมเข้าตา และทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานของบริเวณจุดรับภาพลดลง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม
โอกาสเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมนั้นเกิดได้จากหลายปัจจัย ได้แก่
 อายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี
 เผชิญแสงแดดหรือแสงอัลตราไวโอเลตเรื้อรัง
 น้ำหนักเกินมาตรฐาน
 สูบบุหรี่
 ดื่มสุรา
 มีประวัติบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม
 ผู้ที่เป็นโรคหัวใจหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลในหลอดเลือดสูง
 "ชุด วีโว่&โสมโกเรจินส์" เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ดูแลอย่างตรงจุด
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้นะคะ
☎️061 846 8228

หรือกดลิ้งค์นี้แล้วเพิ่มเพื่อน
https://line.me/R/ti/p/%40sununn

26/07/2018

การแกว่งแขนเป็นมากกว่าการออกกำลังกาย

ที่อยู่

Pak Kret

เบอร์โทรศัพท์

+66618468228

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ต้อเนื้อ ตาพร่ามัว น้ำตาไหล By Premium Health Shop 061 846 8228ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram