อเลอไทด์ Alertide บำรุงสมอง

อเลอไทด์ Alertide บำรุงสมอง อเลอไทด์ บำรุงฟื้นฟูสมอง จากสารสกั?

สาเหตุที่ลูกเบื่ออาหาร และวิธีแก้ไขคุณพ่อคุณแม่หลายท่านคงเป็นกังวลที่ลูกของตัวเองทานอาหารยากหรือไม่ทานอาหารจะทำอย่างไรดี...
19/02/2021

สาเหตุที่ลูกเบื่ออาหาร และวิธีแก้ไข

คุณพ่อคุณแม่หลายท่านคงเป็นกังวลที่ลูกของตัวเองทานอาหารยากหรือไม่ทานอาหารจะทำอย่างไรดี?
ไม่ต้องตกใจไป เพราะอาการเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติที่มักพบบ่อยของเด็ก
ในขั้นแรกให้คุณแม่สำรวจเมนูอาหารก่อนว่าเป็นเมนูเดิม ๆ ซ้ำ ๆ หรือไม่ จริงอยู่ในเมนูอาหารที่คุณแม่ทำอาจจะมีคุณค่าทางโภชนาการ แต่ถ้าเด็กไม่ประทานก็ไม่มีประโยชน์อะไร ลองสับเปลี่ยนเมนูอาหารในแต่ละวันไม่ให้ซ้ำกันเพื่อให้เขาตื่นเต้นและรอคอยทานอาหารอร่อยๆ

การที่เด็กเกิดความรู้สึกไม่อยากรับประทานอาหารถือเป็นเรื่องปกติ ผู้ปกครองไม่ควรดุด่าว่ากล่าวหรือบังคับขู่เข็ญ เพียงแต่เฝ้าสังเกตและลองเปลี่ยนเมนูอาหารไม่ให้ซ้ำกัน เฝ้าสังเกตอาหารที่เขาชอบและไม่ชอบ และตักอาหารให้เขาทานด้วยจำนวนที่น้อยกว่าเดิม เมื่อหมดแล้วถึงเติมให้ใหม่

เด็กในวัย 1 ขวบถึง 3 ขวบ จะมีลักษณะดื้อรั้น ชอบทำนู่นนี่นั่นด้วยตนเอง การที่เราคะยั้นคะยอหรือบีบบังคับจะทำให้เขาเกิดอาการต่อต้านและทำสิ่งตรงข้าม ยิ่งบังคับมากยิ่งต่อต้านมาก เด็กบางคนต่อต้านหนักจนทำให้ร่างกายเกิดการต่อต้านอาหารโดยอัตโนมัติทำให้อาเจียนอาหารออกมา เมื่อเด็กเกิดอาการแบบนี้คนที่กลุ้มใจก็หนีไม่พ้นคุณพ่อคุณแม่อยู่ดี ดังนั้นหากเราหาวิธีป้องกันเอาไว้ก่อนมักจะเกิดผลดีที่สุด🎗ด้วยความปรารถนาดีจาก #แม่นุ่นอเลอไทด์ #แม่นุ่นอุ่นใจ

สนับสนุนโดยผลิตภัณฑ์ "อเลอไทด์ ALERTIDE"
ช่วยบำรุง ฟื้นฟู ดูแลระบบสมองและระบบประสาท ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ และช่วยเพิ่มความจำ เสริมสร้างสมาธิ และความสามารถในการเรียนรู้ ลดปัญหาภาวะสมาธิสั้น

👉โทร คุณนุ่น 095-2344214
☎Line ID :

⬇️คลิกเพื่อแอดไลน์ เพื่อรับข้อมูลสาระน่ารู้
https://line.me/R/ti/p/%40sirinunshop

คลิ๊กเว็ปไซด์ศึกษาข้อมูลและประสบการณ์ผู้ใช้
http://www.dnetworkbynoon.com/

ลูกกินแต่ขนมไม่ยอมกินข้าวทำอย่างไรดี มีวิธีไหนให้ลูกยอมกินข้าวบ้างลูกกินแต่ขนมไม่ยอมกินข้าวทำอย่างไรดีลูกกินแต่ขนมไม่ยอม...
21/12/2020

ลูกกินแต่ขนมไม่ยอมกินข้าวทำอย่างไรดี มีวิธีไหนให้ลูกยอมกินข้าวบ้าง

ลูกกินแต่ขนมไม่ยอมกินข้าวทำอย่างไรดี

ลูกกินแต่ขนมไม่ยอมกินข้าวทำอย่างไรดี เพราะลูกไม่ยอมกินข้าวแบบนี้เล่นเอาพ่อแม่ปสดหัวกันอย่างมาก การเลือกกินเป็นเรื่องปกติของลูกน้อยวัยหัดเดิน และมักจะชอบแสดงพฤติกรรมปฎิเสธอาหาร ไม่ยอมกินข้าว ไม่กล้าลองอาหารใหม่ๆ ไม่สนใจอาหารที่ชอบ อาการเหล่านี้เกิดจากอะไร วิธีแก้อย่างไรบ้าง เรามีเคล็ดการเลี้ยงลูกวัยหัดเดินมาฝากคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ

สาเหตุที่ลูกไม่ยอมกินข้าว

เด็กวัยนี้เริ่มที่จะจู้จี้จุกจิกมากขึ้น เนื่องจากพวกเราเริ่มที่จะเรียนรู้การควบคุมตนเอง เริ่มมีความคิดของตัวเองมากขึ้น และเริ่มเรียนรู้การทำอิสระตามใจ ทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่าลูกน้อยวัยนี้เอาใจยากมากขึ้นนั้นเองค่ะ สิ่งเดียวที่พ่อแม่จะทำได้คือการเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้ลูกน้อยได้ลองทาน และฝึกลักษณะนิสัยที่ดีต่อการกินให้กับลูกน้อย เพราะอาหารและโภชนาการที่ลูกน้อยกินเข้าไปนั้นย่อมส่งผลต่อการเจริญเติบโตที่ดีในอนาคตอย่างแน่นอน

ทำอย่างไรให้ลูกกินข้าว

พ่อแม่หลายคนพยายามทุกวิธีทางเพื่อให้ลูกกินข้าว แต่ลูกน้อยกลับไม่ยอดกินข้าวแม้แต่น้อย หรือบางคนกินแค่ 2-3 คำก็อิ่มแล้ว จากนั้นก็หันไปกินขนมขบเคี้ยวแทน หากบ้านไหนที่ลูกมีพฤติกรรมแบบนี้ พ่อแม่สามารถช่วยให้ลูกยอมกินข้าวได้ดังต่อไปนี้

1.ใจเย็นๆ ให้ลูกได้ลองอาหารใหม่ไปเรื่อยๆ

จากงานวิจัยระบุว่า พ่อแม่อาจจะอาหารเมนูอาหารใหม่ๆ 10 – 15 ครั้ง เด็กถึงจะยอมรับ เพื่อดูว่าลูกน้อยชอบกินอะไรไม่ชอบกินอะไร กฎง่ายๆ คือ ให้ลูกได้ลองอาหาร 1 ช้อนโต๊ะสำหรับอาหารใหม่ 1 ชนิด สำหรับเด็กเล็ก หากเด็กโตก็ให้ทานอาหารในปริมาณที่มากขึ้นค่ะ

2.ให้ลูกมีส่วนร่วมในการทำอาหาร

เวลาที่พ่อแม่ไปจ่ายตลาด หรือไปเลือกซื้อของ อาจจะให้ลูกน้อยได้เห็นอาหารแบบต่างๆ ให้ลูกช่วยจัดโต๊ะอาหาร พยายามให้ลูกน้อยมีส่วนร่วมในการทำอาหารของตนเองให้ได้มากที่สุด วิธีนี้จะทำให้ลูกน้อยอยากกินอาหารฝีมือตัวเองได้ค่ะ

3.เติมความสนุกให้อาหาร

คุณอาจจะลองใส่ความคิดสร้างสรรค์หรือจินตนาการลงไปที่จานอาหาร เพื่อให้ลูกน้อยรู้สึกสนใจที่จะกินอาหาร อย่างเช่นทำอาหารแต่ละมื้อให้มีสีสันสดใส ใช้จานใช้ช้อนน่ารักๆ หรือจะแต่งอาหารตามตัวการ์ตูนที่น้องๆ ชื่นชอบค่ะ หรืออาจตั้งชื่อเมนูอาหารพิเศษสำหรับหนูน้อย

4.ลองให้ลูกได้มีทางเลือก

บ่อยครั้งที่พ่อแม่มักจะทำอาหารเมนูเดียวให้ลูกทาน บางคนพอรู้ว่าลูกกินอะไรได้ก็จะทำแต่เมนูยั้นซ้ำๆ ทำให้กลายเป็นว่าลูกเบื่ออาหารที่กินประจำไปอีก ซึ่งเมื่อไหร่ที่ลูกไม่ทานอาหารขึ้นมาคุณอาจทำอาหาร 2 เมนู เพื่อให้ลูกได้เลือกทานอาหารที่อยากทานได้ค่ะ

5.เติมอาหารใหม่ใส่รวมกับอาหารเก่า

สำหรับวิธีนี้ พ่อแม่อาจนำอาหารใหม่ๆ ที่อยากให้ลูกได้ทาน นำไปเสิร์ฟควบคู่กับอาหารที่ลูกทานประจำ หรือเมนูอาหารจานโปรด เพื่อให้ลูกน้อยได้ลิ้มลองรสอาหารใหม่ๆ ดูบ้าง โดยค่อยๆ เริ่มทีละนิดๆ ค่ะ

6.ปล่อยให้ลูกน้อยเลอะเทอะบ้าง

สำหรับคุณแม่บ้านที่ต้องดูแลทั้งงานบ้าน ลูกน้อย และยังต้องดูแลสามีอีก ถือว่าเป็นงานหนักพอสมควร หากปล่อยให้ลูกกินเลอะเทอะก็เหมือนจะเป็นการเพิ่มงานให้คุณแม่ แต่การที่มห้ลูกได้ทานเลอะเทอะอาจช่วยให้ลูกกินข้าวได้มากยิ่งขึ้น เช่น พ่อแม่อาจนำผักหรือผลไม้ให้ลูกได้จิ้มกับโยเกิร์ต หรือน้ำซอสสำหรับเด็ก เพื่อให้เด็กๆ รู้สึกว่าสนุกกับการกินมากขึ้นค่ะ

7.กินให้ดูเป็นตัวอย่าง

เด็กบางคนชอบที่จะเลียนแบบผู้ใหญ่ บางครั้งเขารู้สึกว่าอาหารตัวเองไม่เหมือนกับพ่อแม่ จึงอยากกินตาม หากพ่อแม่ไม่ยอมกินผักก็มักจะส่งผลให้ลูกไม่ยอมกินผักตาม ดังนั้น ถ้าพา่อแม่อยากให้ลูกเป็นคนกินง่ายต้องกินเป็นตัวอย่างให้กับลูกค่ะ

8.บอกให้ลูกเตรียมตัวกินข้าว

เด็กบางคนติดเล่น พอเล่นจนเหนื่อยก็ไม่ยอมทานข้าว ดังนั้น พ่อแม่อาจต้องให้ลูกหยุดเล่นก่อนจะถึงเวลามื้ออาหารประมาณ 15 นาที เพื่อที่ให่ลูกได้เตรียมตัวกินข้าวในแต่ละมื้อค่ะ

9.พยายามให้ลูกกินตรงเวลา

เมื่อพ่อแม่ให้ลูกทานข้าวตรงเวลาทุกครั้งจนติดเป็นนิสัย เด็กๆ ก็จะรู้สึกหิวเองว่าถ้าถึงเวลานี้คือเวลากินข้าวแล้วนะ ที่สำคัญก่อนกินข้าวอย่าให้ลูกกินขนมขบเคี้ยวก่อนเป็นอันเด็ดขาด

ที่มา: familydoctor

🎗ด้วยความปรารถนาดีจาก "อเลอไทด์ ALERTIDE"
บำรุงฟื้นฟูระบบสมองและบำรุงระบบประสาท ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ และช่วยเพิ่มความจำ เสริมสร้างสมาธิ และความสามารถในการเรียนรู้

👉โทร คุณนุ่น 095-2344214
☎Line ID :

แอดไลน์ร้านค้าไว้ด้วยนะคะ จะได้ไม่พลาดข้อมูลข่าวและโปรชั่นต่างๆ หลังจากกดแอดไลน์มาแล้วอย่าลืมส่งสติ้กเกอร์ทักทายมาด้วยนะคะ👇
⬇️คลิกเพื่อแอดไลน์ เพื่อรับข้อมูลสาระน่ารู้
https://line.me/R/ti/p/%40sirinunsho

ควรจะทำอย่างไรเมื่อลูกอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้?♦️อย่าลงโทษจนกว่าจะรู้สาเหตุสังเกตผลการเรียนลูก คุยกับครูเป็นระยะๆ อย่ารอจน...
22/10/2020

ควรจะทำอย่างไรเมื่อลูกอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้?

♦️อย่าลงโทษจนกว่าจะรู้สาเหตุ

สังเกตผลการเรียนลูก คุยกับครูเป็นระยะๆ อย่ารอจนรร.ส่งจดหมายเชิญคุณไปพบ คุยกับครูเรื่องพัฒนาการลูก และจัดการกับสถานการณ์เมื่อรู้ต้นตอปัญหา อย่าดุลูกต่อหน้าคนอื่น เพราะจะทำให้ลูกเสียความมั่นใจและไม่อยากเรียนรู้

♦️รักและให้กำลังใจลูก

ยอมรับจุดอ่อนของลูก ไม่ควรโกรธ แสดงความผิดหวัง หรือบั่นทอนกำลังใจลูก อย่าคาดหวังในตัวลูกสูงเกินไป ให้กำลังใจลูกเมื่อเขาทำไม่ได้ บอกว่าคราวหน้าเขาจะทำได้ดีขึ้น อย่าเปรียบเทียบลูกกับลูกคนอื่น

♦️สอนลูกอย่างอดทน

สอนให้รู้พื้นฐานตัวอักษรก่อน เช่น หน้าตาตัวอักษรแต่ละตัว และเขียนอย่างไร ใช้อุปกรณ์การสอนมาช่วยให้จำทำให้สนุกกับการเรียน อาจใช้วิธีการเล่นเกม ถ้าเจอวิธีที่ได้ผล ใช้วิธีนั้นจนกว่าจะอ่านและเขียนได้ทั้งหมด จากนั้นเริ่มผสมคำเป็นคำง่ายๆสั้นๆ เมื่อเขาเริ่มอ่านคำได้บ้าง ลองหานิทานง่ายๆมาให้อ่าน ให้เลือกเรื่องที่เขาอยากอ่าน

เคล็ดลับ..คือคุณต้องอดทน อย่าโมโหหรือเร่งลูกให้อ่านเร็ว คุณทำให้ลูกรักการอ่านได้ โดยการอ่านหนังสือให้เขาฟังทุกคืนก่อนนอน เมื่อลูกเริ่มอ่านได้ ก็ให้อ่านให้คุณฟัง

🎗ด้วยความปรารถนาดีจาก "อเลอไทด์ ALERTIDE"
บำรุงฟื้นฟูระบบสมองและบำรุงระบบประสาท ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ และช่วยเพิ่มความจำ เสริมสร้างสมาธิ และความสามารถในการเรียนรู้

👉โทร คุณนุ่น 095-2344214
☎Line ID :

แอดไลน์ร้านค้าไว้ด้วยนะคะ จะได้ไม่พลาดข้อมูลข่าวและโปรชั่นต่างๆ หลังจากกดแอดไลน์มาแล้วอย่าลืมส่งสติ้กเกอร์ทักทายมาด้วยนะคะ👇
⬇️คลิกเพื่อแอดไลน์ เพื่อรับข้อมูลสาระน่ารู้
http://line.me/ti/p/

7 เหตุผล!! ที่ทำให้เป็นคนเรียนรู้ช้า เข้าใจอะไรยาก     1. สมาธิหายไปไหน📎⭐          จะเรียนหรืออ่านหนังสือ สมาธินี่สำคัญส...
08/08/2020

7 เหตุผล!! ที่ทำให้เป็นคนเรียนรู้ช้า เข้าใจอะไรยาก

1. สมาธิหายไปไหน📎⭐
จะเรียนหรืออ่านหนังสือ สมาธินี่สำคัญสุด ต้องจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นเวลานานๆ จึงจะเกิดผลดีมากที่สุด สมาธิหลุดเมื่อไหร่ เนื้อหาที่เราได้อ่านไปไหลกลับหนังสือแน่นอน ผลก็คือต้องกลับมาอ่านใหม่ แต่ในห้องเรียนไม่เป็นอย่างนั้น อาจารย์จะไม่กลับมาทวนให้เราค่ะ เรียกว่าผ่านแล้วผ่านเลย ไปเจอกันในห้องสอบอีกทีนะจ๊ะ
ดังนั้นใครรู้ตัวว่าวอกแวกง่าย ใจไม่อยู่กับกระดานดำ ต้องปรับตัวเองใหม่ค่ะ หากนั่งริมหน้าต่างหรือประตู จะเป็นจุดที่เสียสมาธิง่ายที่สุด ต้องพยายามไม่มองออกไปข้างนอก โฟกัสของเราอยู่ที่คุณครูหน้าห้องเท่านั้น ขณะที่ฟังก็ต้องคิดตามไปเรื่อยๆ อย่าให้มีเรื่องอื่นๆ เข้ามาแทรกระหว่างเรียน อารมณ์เศร้า โมโห คิดถึง ขอให้ตัดออกตั้งแต่หน้าห้องให้หมด เรียนเสร็จค่อยกลับไปคิดต่อเนอะ

2. สมองคิดแต่เรื่องไม่เป็นประโยชน์⭐
จริงๆ แล้ว สมองเราไม่จำเป็นต้องคิดอะไรที่เป็นสาระตลอดเวลาค่ะ แต่หลายๆ คนอาจจะรู้สึกว่าเรื่องสาระเป็นเรื่องเครียด ขอไม่คิดเลยแล้วกัน ในแต่ละวันก็เลยดูแต่ข่าวบันเทิง คลิปเกมโชว์ หรือคิดแต่ว่า เลิกเรียนจะไปไหน ไปกับใคร กินอะไร ฯลฯ คิดแบบนี้ทั้งวันสมองเราก็จะไม่ได้ฝึกคิดเพิ่มรอยหยักเลยค่ะ พูดง่ายๆ คือ ไม่ได้ใช้สมองนั่นเอง
ลองแบ่งเวลาวันละ 30 นาที อ่านหนังสือประเภท How To สารคดี หนังสือพิมพ์ หรือบทความตามเว็บไซต์ อีก 30 นาทีแบ่งไว้ดูรายการที่มีประโยชน์ อีก 30 นาที แบ่งเวลาออกกำลังกายเผื่อผ่อนคลายทั้งร่างกายและสมอง

3. กดดัน⭐
เห็นมานักต่อนักแล้วค่ะ บ้านที่บังคับให้เราเรียนสารพัดอย่างโดยไม่เต็มใจ ในโรงเรียนก็กดดันว่าต้องได้เกรดดีๆ 3.00 ขึ้นไปเท่านั้น คนเรียนก็ต้องมานั่งกดดันอยู่คนเดียว เมื่อมีความกดดันเข้ามาเยอะ สมาธิก็หลุดกระเจิดกระเจิงเลยจ้า เพราะมัวแต่พะวงว่าถ้าไม่ได้ตามที่ท่านแม่ต้องการ ชีวิตเราจะเป็นยังไง แต่ก็มีไม่น้อยค่ะ ที่น้องๆ กดดันตัวเอง คือ มีความฝันว่าอยากเรียนต่อที่ดีๆ แต่การกดดันตัวเองเกินไปจะยิ่งกลายเป็นผลเสียให้เราเรียนไม่รู้เรื่องนะ ดังนั้นทำให้เต็มที่ แต่อย่ากดดันตัวเองค่ะ เรียนด้วยความสุข ผลลัพธ์ดีกว่า คอนเฟิร์ม!!

4. ไม่หัดโต้แย้ง ไม่แสดงความคิดเห็น⭐
พี่มิ้นท์ชอบดูการโต้วาทีค่ะ รู้สึกว่าเป็นการโต้ด้วยเหตุผล ทำให้เราได้คิดตามและคิดต่อในสิ่งที่คนๆ นั้นพูด คนที่แสดงความคิดเห็นบ่อยๆ ได้ จะค่อนข้างเป็นคนหัวไว เพราะเขาจะเชื่อมโยงความคิดในหัวประมวลผลพูดออกมาได้อย่างรวดเร็ว จนบางทีก็สงสัยเหมือนกันว่า คนที่พูดเก่งๆ นี่เอาเวลาที่ไหนไปคิดคำพูดกันนะ
ลองดูตัวเองว่าในชีวิตประจำวันน้องๆ ขาดข้อนี้ไปมั้ย ถ้าเกิดมาไม่เคยแสดงความคิดเห็นหรือยกมือตอบคำถามอะไรเลย ลองดูค่ะ เริ่มจากในห้องเรียนนี่แหละ ครูถามอะไรมา ลองรวมความรู้ของเราพูดสั้นๆ ทำบ่อยๆ ช่วยฝึกความคิดและสมองของเราค่ะ

5. นอนดึก (เกินไป)📎⭐
นอนดึกนี่มีผลเสียหลายอย่าง ถ้าเรื่องสุขภาพ ก็จะอ้วน โทรม ขอบตาดำคล้ำ แต่ถ้าเรื่องการเรียนก็ส่งผลไม่แพ้กัน ยิ่งนอนดึกเท่าไหร่ ร่างกายและสมองพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะล้าค่ะ อยู่ในห้องเรียนก็มึนๆ งงๆ เหมือนคนไม่มีสติ ยังงี้เรียนไม่เข้าหัวแน่นอน

6. มัวแต่ลอกการบ้าน
แบบฝึกหัดมีเพื่อให้เรากลับมาทำที่บ้าน ทบทวนความรู้ที่เรียนไปในห้องเรียน คนที่มีนิสัยลอกเป็นประจำก็ว่าแย่แล้ว แต่บางคนลอกแบบไม่คิดตาม ต้นฉบับเขียนอะไรก็ลอกเหมือนเป็นกระดาษก็อปปี้ ไหนๆ เราก็ไม่ได้เหนื่อยคิดเองตั้งแต่ต้น ก็ควรใช้ความพยายามในการทำความเข้าใจเนื้อหาสักหน่อย อย่างน้อยเรียนคาบต่อไปจะได้มีความรู้เข้าหัวอยู่บ้างนั่นเอง
หมายเหตุตัวใหญ่ๆ ยังไงก็ไม่สนับสนุนให้ลอกการบ้านนะคะ ใช้ความรู้รอบตัวให้เต็มที่ก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆ ค่อยเป็นความรู้รอบโต๊ะ!

7. ครูสอนไม่เข้าใจจริงๆ⭐
นอกเหนือจากสาเหตุที่พูดมาทั้งหมดที่ขึ้นอยู่กับตัวเองเป็นส่วนใหญ่ก็ยังมีสาเหตุจากภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น สภาพห้องเรียน ทำให้เราไม่มีสมาธิพอ หรือแม้แต่คุณครูก็มีส่วนเกี่ยวข้องค่ะ ประมาณว่าเรียนกับครูคนนี้ ทั้งห้องไม่มีใครเข้าใจเลย แสดงว่าไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่หัวช้านะคะ ต้นเหตุอาจจะมาจากครูที่มีวิธีการสอนไม่ค่อยดี หรือ อาจจะอธิบายเร็วเกินไป เป็นต้น

เรียนไม่รู้เรื่องนี่เหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ นะ แต่ปัญหามันลามไปไกลมาก จากไม่เข้าใจแค่คาบเดียว กลายเป็นสองคาบ สามคาบ สี่คาบ ยิ่งเรียนยิ่งไม่เข้าใจ "โดดกันดีกว่า เพื่อน!" จบกันเลยค่ะ ถ้าแก้ปัญหาด้วยการโดดเรียนแบบนี้

เอาเป็นว่าใครเรียนไม่รู้เรื่อง ใจเย็นๆ ตั้งสติแล้วมาเริ่มต้นที่การสร้างสมาธิ ถ้าเราโฟกัสสิ่งที่คุณครูสอนได้ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก : Dek-D.com

🎗ด้วยความปรารถนาดีจาก #แม่นุ่นอเลอไทด์ #แม่นุ่นอุ่นใจ

สนับสนุนโดยผลิตภัณฑ์ "อเลอไทด์ ALERTIDE"
ช่วยบำรุง ฟื้นฟู ดูแลระบบสมองและระบบประสาท ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ และช่วยเพิ่มความจำ เสริมสร้างสมาธิ และความสามารถในการเรียนรู้ ลดภาวะสมาธิสั้น

👉โทร คุณนุ่น 095-2344214
☎Line ID :

⬇️คลิกเพื่อแอดไลน์ เพื่อรับข้อมูลสาระน่ารู้
https://line.me/R/ti/p/%40sirinunshop

🎗สอนลูกให้เชื่อฟังคุณต้องตามใจลูกวัยเสมอ ไม่ว่าเขาอยากได้อะไรหรืออยากทำอะไร เวลาคุณบอกลูกให้ทำบางอย่างที่เขาไม่อยากทำ เข...
23/07/2020

🎗สอนลูกให้เชื่อฟัง

คุณต้องตามใจลูกวัยเสมอ ไม่ว่าเขาอยากได้อะไรหรืออยากทำอะไร เวลาคุณบอกลูกให้ทำบางอย่างที่เขาไม่อยากทำ เขาก็เฉยไม่ยอมทำตาม * เมื่อคุณห้าม ลูกไม่ให้ทำบางอย่างที่เขาอยาก ทำ เขาก็อาละวาดใส่คุณ
คุณอาจคิดว่า ‘เด็กวัยนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวโตขึ้นก็จะดีเอง’

คุณสอนลูกให้เชื่อฟังได้ แต่ก่อนที่เราจะพิจารณาว่าจะสอนอย่างไร ให้เรามาดูว่าทำไมเด็กบางคนถึงไม่เชื่อฟัง

🎗สาเหตุของปัญหา
ตอนที่ลูกเกิดมา คุณต้องคอยดูแลเอาใจใส่ลูกและประคบประหงมเขา เมื่อลูกร้องคุณก็จะรีบวิ่งไปและทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกหยุดร้อง แน่นอนว่า การทำแบบนี้เป็นเรื่องเหมาะสมและจำเป็นเพราะเด็กทารกจำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดจากพ่อแม่

หลังจากที่ได้รับการดูแลอย่างดีเป็นเวลาหลายเดือนจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กจะทำตัวเป็นเจ้านายในบ้าน ส่วนพ่อแม่ก็เป็นคนรับใช้ที่ต้องทำตามคำสั่ง แต่พออายุ 2 ขวบ เด็กไม่ค่อยจะยอมรับว่าตอนนี้เขาไม่ใช่ “เจ้านาย” อีกต่อไป พ่อแม่ไม่ตามใจเขา แล้ว ไม่ใช่แค่นั้นพ่อแม่ต้องการให้ลูก ทำตามที่พวกเขา บอกด้วย เรื่องนี้ทำให้เด็กงง บางคนถึงกับอาละวาด ส่วนบางคนก็อยากลองดูว่าพ่อแม่มีอำนาจจริงหรือไม่โดยการไม่เชื่อฟัง

ในช่วงนี้ พ่อแม่จำเป็นต้องรับบทบาทใหม่ นั่นก็คือผู้มีอำนาจที่จะสั่งลูกให้ทำตาม แต่ถ้าลูกไม่สนใจหรือไม่ยอมรับอำนาจเหมือนตัวอย่างในตอนต้น พ่อแม่ควรทำอย่างไร?

🎗สิ่งที่คุณทำได้
ต้องเป็นผู้นำ ลูกจะไม่ยอมรับว่าคุณเป็นผู้นำถ้าบทบาทของคุณไม่ชัดเจน ดังนั้น คุณต้องใช้อำนาจอย่างสมดุล ในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้ บางคนที่อ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทำให้คำว่า “อำนาจ” ดูเป็นเรื่องโหดร้าย มีคนหนึ่งถึงกับพูดเรื่องการใช้อำนาจของพ่อแม่ว่า “ผิดจรรยาบรรณ” และ “ผิดทำนองคลองธรรม” แต่จริง ๆ แล้ว การตามใจลูกมากเกินไปจะทำให้เด็กไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เอาแต่ใจ และคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์เหนือคนอื่น การทำแบบนี้ไม่ได้ช่วยฝึกลูกให้โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบเลย—หลักการในคัมภีร์ไบเบิล: สุภาษิต 29:15

ต้องอบรมสั่งสอน พจนานุกรมเล่มหนึ่งอธิบายว่าการอบรมสั่งสอนเป็น “การฝึกอบรมเพื่อให้เกิดการเชื่อฟังหรือการควบคุมอารมณ์ รวมถึงการตั้งกฎและลงโทษถ้าไม่เชื่อฟัง” จริงอยู่ที่การอบรมสั่งสอนไม่ควรจะเป็นแบบไร้เหตุผลหรือพูดแรง ๆ แต่ก็ไม่ใช่สอนแบบคลุมเครือหรือมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะจะทำให้เด็กไม่อยากปรับปรุงตัว—หลักการในคัมภีร์ไบเบิล: สุภาษิต 23:13

ต้องชัดเจน พ่อแม่บางคนเพียงแค่ขอ ให้ลูกเชื่อฟังพวกเขา (“ลูกช่วยทำความสะอาดห้องของลูกหน่อยได้ไหม?”) พวกเขาอาจคิดว่าการทำแบบนี้เป็นการแสดงมารยาทที่ดี แต่การทำแบบนี้จะทำให้อำนาจของพ่อแม่ลดลง ทำให้เด็กคิดว่าเป็นแค่คำขอ จะทำหรือไม่ทำก็ได้ แทนที่จะขอให้ลูกทำ พ่อแม่ต้องสั่งอย่างชัดเจน—หลักการในคัมภีร์ไบเบิล: 1 โครินท์ 14:9

ต้องเด็ดเดี่ยว ถ้าคุณบอกว่าไม่ ก็ต้องเป็นไปตามนั้น พ่อแม่ต้องตกลงและเห็นพ้องกันในเรื่องนี้ ถ้าคุณบอกลูกแล้วว่าคุณจะลงโทษลูกอย่างไรเมื่อเขาทำผิดก็ให้ทำตามนั้น อย่ามัวเสียเวลากับการต่อรองหรืออธิบายว่าทำไม คุณทำแบบนั้น นี่จะช่วยให้ง่ายขึ้นทั้งคุณและลูก ถ้าคุณ “ให้คำว่า ‘ใช่’ หมายความว่าใช่และ ‘ไม่’ หมายความว่าไม่”—หลักการในคัมภีร์ไบเบิล: ยาโกโบ 5:12

ต้องแสดงความรัก ครอบครัวไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตยหรือแบบเผด็จการ พระเจ้าต้องการให้พ่อแม่สอนลูกด้วยความรักเพื่อเขาจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ และส่วนหนึ่งของขั้นตอนที่จะช่วยให้เป็นอย่างนั้นได้ ก็คือการอบรมสั่งสอนซึ่งจะช่วยลูกให้เชื่อฟังและทำให้ลูกมั่นใจว่าคุณรักเขา

🎗ด้วยความปรารถนาดีจาก #แม่นุ่นอเลอไทด์ #แม่นุ่นอุ่นใจ

สนับสนุนโดยผลิตภัณฑ์ "อเลอไทด์ ALERTIDE"
ช่วยบำรุง ฟื้นฟู ดูแลระบบสมองและระบบประสาท ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ และช่วยเพิ่มความจำ เสริมสร้างสมาธิ และความสามารถในการเรียนรู้ ลดภาวะสมาธิสั้น

👉โทร คุณนุ่น 095-2344214
☎Line ID :

⬇️คลิกเพื่อแอดไลน์ เพื่อรับข้อมูลสาระน่ารู้
https://line.me/R/ti/p/%40sirinunshop

เมื่อลูกสมาธิสั้น!!   จะทำอะไรได้ไม่นาน วอกแวก ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับงานที่กำลังทำได้นาน มักใจลอยง่าย .... เด็กเล็...
04/07/2020

เมื่อลูกสมาธิสั้น!! จะทำอะไรได้ไม่นาน วอกแวก ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับงานที่กำลังทำได้นาน มักใจลอยง่าย .... เด็กเล็กจะเล่นอะไรได้ไม่นาน เปลี่ยนของเล่นไปเรื่อยๆ

👬โรคสมาธิสั้นในเด็ก ถ้าเป็นเด็กโตมักทำงานไม่เสร็จตามที่สั่ง ทำงานตกหล่น ไม่ครบ ไม่ละเอียด มักซุกซนไม่ยอมอยู่นิ่ง ซนมาก เหลียวซ้ายแลขวา ยุกยิก แกะโน่นเกานี่ อยู่ไม่สุข ปีนป่าย นั่งไม่ติดที่ ชอบคุย และชอบส่งเสียงดังรบกวนคนรอบข้าง

00000000000000000000000000000000000

👨‍👩‍👧‍👧 ถ้าลูกของคุณมีลักษณะอาการอยู่ในข่ายข้างต้น จนทำให้เกิดผลเสียต่อตัวเด็กเป็นอย่างมาก เช่น ทำงานไม่ทันเพื่อน ทำการบ้านไม่เสร็จ กระทบต่อผลการเรียน ดูฉลาดคล่องแคล่วแต่ผลการเรียนไม่ดี นอกจากนี้ยังอาจทำให้เพื่อนไม่ค่อยอยากเล่นด้วยเพราะเล่นแรง หรือก่อให้เกิดความรำคาญแก่คนรอบข้างอย่างมาก ก็ให้สงสัยได้เลยว่าลูกของคุณอาจจะเป็นสมาธิสั้น ควรพาไปพบจิตแพทย์เด็ก เพื่อตรวจยืนยัน และหาแนวทางดูแลช่วยเหลือต่อไป

➖➖➖➖➖➖➖👨‍👩‍👧‍👧➖➖➖➖➖➖➖➖

คุณพ่อคุณแม่จะทำอย่างไรดีที่จะช่วยลูกรักให้ห่างจากโรคนี้ได้ เรามาดูวิธีกันค่ะ

1.อย่าเปิดทีวี ให้มีเสียงดังจนเกินไป หรือสภาพแวดล้อมในบ้านต้องไม่วุ่นวาย หรือ มีการทะเลาะกันบ่อยครั้ง

2.หามุมสงบสำหรับเด็ก เพื่อให้เกิดสมาธิในการทำการบ้าน

3.ฝึกฝนวินัยให้เด็ก สร้างกรอบกฎเกณฑ์ มีตารางเวลาชัดเจน ไม่ปล่อยละเลยหรือตามใจ

4.มีการสื่อสารที่สั้นและชัดเจน หากไม่แน่ใจให้เด็กทบทวนว่าสิ่งที่สั่งสอนไปคืออะไรบ้าง

5.มีความเข้าใจในพฤติกรรมของเด็กสมาธิสั้นอย่างจริงจังและจริงใจ

6.จัดสภาพแวดล้อมในบ้านให้เกิดความมีระเบียบ ไม่ปล่อยให้บ้านรกรุงรัง

7.อย่าทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองมีปมด้อย

8.ไม่ควรจับกลุ่มให้เด็กสมาธิสั้นอยู่ใกล้ชิดกับเด็กที่มีปัญหาแบบเดียวกัน เพราะจะทำให้กลายเป็นเด็กที่เกเรก้าวร้าวได้

9.ส่งเสริมจุดแข็งข้อดีในตัวเด็ก เพื่อให้เด็กรู้สึกดี และเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง

10.จัดกิจกรรมที่สร้างสรรค์ให้ได้ใช้เวลาว่างอย่างมีประโยชน์ และใช้พลังงานส่วนเกินอย่างเหมาะสม รวมถึงเป็นการฝึกสมาธิไปในตัว เช่น ออกกำลังกาย หรือเล่นดนตรี ตามที่เด็กสนใจ

➖➖➖➖➖ ➖➖➖➖➖

ถ้าเด็กสมาธิสั้น ทำอะไรก็มักไม่สำเร็จ และส่งผลเสียมากมายทั้งต่อตัวเด็กเอง และคนรอบข้าง ดังนั้นการช่วยเหลือเด็กให้มีสมาธิจึงสำคัญมาก แนวทางเพิ่มสมาธิจะทำควบคู่กัน 2 แนวทาง คือ

1. การใช้ยาเพิ่มสมาธิ

การใช้ยาเพิ่มสมาธิ ในปัจจุบันถือเป็นมาตรฐานการรักษา ยาที่ใช้มีความปลอดภัย สามารถช่วยให้เด็กมีสมาธิดีขึ้น สงบขึ้น และควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้ การเรียนดีขึ้น ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีขึ้น

2. การฝึกฝนการควบคุมตัวเอง

การฝึกฝนการควบคุมตนเองของเด็ก พ่อแม่ควรจัดกิจวัตรประจำวันของเด็ก ให้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอตามเวลาที่กำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาตื่นนอน เวลารับประทานอาหาร อาบน้ำ ไปโรงเรียน ทำการบ้าน หรือเข้านอน

นอกจากนี้ควรฝึกฝนให้เด็กมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานที่กำลังทำได้ต่อเนื่อง ประมาณ 20 – 30 นาที โดยเน้นให้เด็กนั่งอยู่กับที่ ทำงานจนเสร็จ ไม่ลุกเดินไปไหน ซึ่งในช่วงแรกพ่อแม่ควรควบคุมอย่างใกล้ชิด และคอยช่วยเหลือ เพื่อให้เด็กทำงานได้สำเร็จ
➖➖➖➖➖👨‍👩‍👧‍👧➖➖➖➖➖➖

🎗ด้วยความปรารถนาดีจาก #แม่นุ่นอเลอไทด์ #แม่นุ่นอุ่นใจ

สนับสนุนโดยผลิตภัณฑ์ "อเลอไทด์ ALERTIDE"
ช่วยบำรุง ฟื้นฟู ดูแลระบบสมองและระบบประสาท ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ และช่วยเพิ่มความจำ เสริมสร้างสมาธิ และความสามารถในการเรียนรู้ ลดปัญหาภาวะสมาธิสั้น

👉โทร คุณนุ่น 095-2344214
☎Line ID :

⬇️คลิกเพื่อแอดไลน์ เพื่อรับข้อมูลสาระน่ารู้
https://line.me/R/ti/p/%40sirinunshop
https://line.me/R/ti/p/%40sirinunshop

คลิ๊กเว็ปไซด์ศึกษาข้อมูลและประสบการณ์ผู้ใช้
http://www.dnetworkbynoon.com/

ติดตามแฟนเพจ เราได้ที่
https://www.facebook.com/AlertideByNamoon/

➡️😊 วิธีแก้และป้องกัน “สมาธิสั้นในเด็ก”ลูกซน ไม่อยู่นิ่ง รอคอยไม่เป็น ทำกิจกรรมอะไรได้ไม่นาน ทั้งหมดนี้เข้าข่ายเป็นเด็กส...
10/06/2020

➡️😊 วิธีแก้และป้องกัน “สมาธิสั้นในเด็ก”

ลูกซน ไม่อยู่นิ่ง รอคอยไม่เป็น ทำกิจกรรมอะไรได้ไม่นาน ทั้งหมดนี้เข้าข่ายเป็นเด็กสมาธิสั้นหรือเปล่า? แนวโน้มของเด็กสมาธิสั้นในปัจจุบันเพิ่มมากขึ้น ทำให้คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่มักมีความกังวลใจเรื่องนี้มาก แล้วเด็กที่ซุกซน มีพลังงานเหลือเฟือ แอคทีฟอยู่ตลอดเวลา หรือเรียกว่า “ไฮเปอร์” จัดอยู่ในประเภทเด็กสมาธิสั้นด้วยหรือเปล่า?
หลากหลายคำถามที่เป็นคำคุ้นหู แต่ยังอาจสับสนและไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง รศ.พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์ จาก ศูนย์การแพทย์นวบุตรสตรีและเด็ก ชั้น 2 ไลฟ์เซ็นเตอร์ (คิวเฮ้าส์ ลุมพินี) ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสมาธิสั้นในเด็กว่า โรคซนอยู่ไม่นิ่ง สมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorders หรือ ADHD) คือภาวะที่เด็กมีพฤติกรรมเหล่านี้

1.ไฮเปอร์ คือ ซุกซน ไม่อยู่นิ่ง เคลื่อนไหวตลอดเวลา ยุกยิก พลังเยอะ ซน พูดมาก

2.ขาดสมาธิ จดจ่ออะไรนานๆ ไม่ได้ เบื่อง่าย วอกแวก เหม่อบ่อย ทำงานไม่เสร็จ ขี้ลืม

3.หุนหันพลันแล่น ขาดความยับยั้งชั่งใจ อดทนรอคอยไม่ได้ พูดแทรก พูดโพล่ง ใจร้อน

เด็กบางคนมีอาการครบทั้งหมด เด็กบางคนมีปัญหาเรื่องสมาธิเพียงอย่างเดียวโดยที่ไม่ซน ซึ่งบางคนมีพฤติกรรมเหล่านี้มากกว่าเด็กวัยเดียวกัน และไม่เหมาะสมกับพัฒนาการตามวัยของเด็กในช่วงอายุนั้นๆ จนรบกวนการใช้ชีวิตของเด็ก เช่น เรียนไม่ได้ ไม่มีเพื่อน หรือถูกลงโทษบ่อย

➡️ สาเหตุของโรคสมาธิสั้น ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด อาจมีหลายปัจจัย เช่น พันธุกรรม ถ้าคุณพ่อคุณแม่หรือมีญาติที่ตอนเด็กๆ ซน อยู่ไม่นิ่ง สมาธิสั้น ลูกก็มีโอกาสที่จะเป็นได้เช่นกัน ความผิดปกติในการทำงานของสมอง เช่น สมองได้รับผลกระทบจากการขาดออกซิเจน มีเลือดออก ติดเชื้อ โรคลมชัก หรือมีความผิดปกติของสารเคมีในสมอง

นอกจากนี้ ยังมีโรคต่างๆ ที่ทำให้เด็กมีพฤติกรรมคล้ายเด็กสมาธิสั้น เช่น ไทรอยด์เป็นพิษ ภูมิแพ้ ขาดอาหาร เด็กที่ได้รับยากันชักบางชนิด เป็นต้น ส่วนอาหารรสหวาน น้ำตาล ช็อกโกแลต หรือของรับประทานที่มีสารแต่งสีนั้น ไม่มีข้อมูลยืนยันว่าเป็นสาเหตุ แต่หากพ่อแม่สังเกตว่าลูกกินแล้วซนมากขึ้น ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนั้นเสีย

ทั้งนี้ ควรควบคุมและหลีกเลี่ยงการใช้สื่อผ่านจอทุกประเภทเป็นเวลานานๆ ทั้งโทรทัศน์ ซีดี วีดีโอเกมส์ คอมพิวเตอร์ แท็ปเล็ต ไอแพด ไอโฟน ฯลฯ เพราะการปล่อยให้เด็กอยู่หน้าจอนานๆ จะทำให้เด็กหมกมุ่น และคุ้นชินกับอะไรที่เร็วๆ เพราะภาพบนจอเปลี่ยนทุกวินาที ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีใช้สื่อผ่านจอทุกประเภท เพราะจะทำให้เด็กสนใจสิ่งอื่นน้อยลง สบตาน้อยลง ส่งผลให้พัฒนาการด้านการพูด การใช้ภาษา และสังคมของเด็กล่าช้าไป


😊วิธีการรักษา

เด็กซน อยู่ไม่นิ่ง สมาธิสั้นนั้น หากพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดู หรือคุณครูไม่เข้าใจ เด็กๆ เหล่านั้นมักถูกต่อว่าว่าเป็นเด็กซน เด็กดื้อ เด็กเกเร ถูกลงโทษรุนแรง เด็กจะคิดว่าตนไม่มีคุณค่า ทำให้เด็กอาจจะไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากไปโรงเรียน โดดเรียน เสี่ยงกับการเกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น ติดเกมส์ สูบบุหรี่ กินเหล้า ติดยา เข้าแก๊ง เริ่มลักขโมย หรือมีปัญหาอื่นต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นอาชญากรรมได้เลย จึงควรช่วยเหลือแต่เนิ่นๆ โดยให้ผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจ และใช้การปรับพฤติกรรมทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนร่วมกับการใช้ยารักษา (ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์)

โดยทางบ้าน ฝ่ายผู้ปกครองต้องเข้าใจว่าโรคนี้เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของสมอง ลูกไม่ได้จงใจแกล้ง เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็นแบบนี้ เด็กทุกคนอยากเป็นคนดีและเป็นที่รักของพ่อแม่ พ่อแม่ต้องอดทนพยายามเข้าใจลูกมากขึ้น จับจังหวะชมให้มาก ให้แรงเสริมทางบวกเมื่อเขาได้พยายามแล้ว หากลูกมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมให้ลงโทษโดยการตัดสิทธิ์หรืองดกิจกรรมบางอย่าง ไม่ควรพูดจาบั่นทอนความรู้สึกหรือลงโทษด้วยวิธีรุนแรง

นอกจากนี้ ยังสามารถใช้กิจกรรมต่างๆ ทั้งกีฬา ดนตรี ศิลปะ และงานบ้าน เพื่อช่วยเสริมให้สมาธิดีขึ้น กีฬาช่วยให้เขาได้ปล่อยพลังออกไป ได้ใช้สมาธิในการมอง การกะระยะ ฝึกทักษะการใช้มือ แขน ขา สายตา ดนตรีช่วยฝึกสมาธิการฟัง ศิลปะและงานบ้านช่วยฝึกจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์และการสังเกต

หากพลังลดลงจนถึงระดับที่เด็กเริ่มสงบลงแล้ว จึงให้เริ่มทำการบ้าน อ่านหนังสือ โดยมีพ่อแม่คอยกำกับดูแล และให้แรงจูงใจเป็นช่วงๆ
(ไม่ต้องรอให้ทำเสร็จแล้วค่อยชม) เช่น ชมที่เขาตั้งใจเขียน มีความอดทน เป็นต้น

สำหรับที่โรงเรียน ผู้ปกครองที่มีลูกเป็นโรคสมาธิสั้น ควรต้องไปคุยกับครูประจำชั้นทุกชั้นปี เพื่อให้ครูเข้าใจถึงปัญหา และจัดที่นั่งเพื่อช่วยลดสิ่งเร้า ควรนั่งหน้าห้อง นั่งใกล้กระดาน ใกล้เพื่อนที่เรียบร้อย และหลีกเลี่ยงการนั่งหลังห้อง ใกล้ประตู ใกล้หน้าต่าง ใกล้เพื่อนที่ซนพูดมาก เพราะจะรบกวนสมาธิของเด็ก อาจแต่งตั้งเด็กให้เป็นผู้ช่วยครู เป็นรองหัวหน้าห้อง พอเริ่มยุกยิกก็ให้ช่วยลบกระดาน เก็บสมุด ตั้งแถวกินนม ฯลฯ เพื่อให้เขาได้ใช้พลังและเป็นการเปลี่ยนอิริยาบถ ครูอาจประกบตัวต่อตัวจะช่วยให้สามารถเรียนรู้ได้ดีขึ้น

ส่วนในเด็กเล็กๆ ที่ค่อนข้างซนกว่าเด็กวัยเดียวกัน ควรปรับพฤติกรรมแต่เนิ่นๆ เช่น ให้เขาได้ปลดปล่อยพลังงานออกไปก่อน เช่น วิ่งเล่น ออกกำลังกาย แล้วจึงค่อยทำกิจกรรมที่ใช้สมาธิ เช่น ระบายสี วาดรูป ร้องเพลง เป็นต้น นอกจากนี้คุณหมอยังได้กล่าวถึงสถิติของคนที่เป็นโรคสมาธิสั้นเพิ่มเติมอีกด้วยว่า

1 ใน 3 ของเด็กที่เป็นโรคซนอยู่ไม่นิ่ง สมาธิสั้น เมื่อโตขึ้น มีวุฒิภาวะดีขึ้น เด็กก็จะค่อยๆ หายได้เอง

1 ใน 3 ดีขึ้น เมื่อมีการปรับพฤติกรรมที่ถูกต้องและได้รับการรักษาด้วยยาในการดูแลของแพทย์

1 ใน 3 อาจมีปัญหาการเรียน สอบตก เรียนไม่จบ ซึมเศร้า ติดยา ต่อต้านสังคม หรือกลายเป็นอาชญากร

ดังนั้น โรคสมาธิสั้นในเด็ก สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ ด้วยการดูแล เอาใจใส่ เข้าใจในพฤติกรรม และให้กำลังใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยให้เด็กเหล่านี้กลับเข้ามาอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปกติ

🎗ด้วยความปรารถนาดีจาก #แม่นุ่นอเลอไทด์ #แม่นุ่นอุ่นใจ

สนับสนุนโดยผลิตภัณฑ์ "อเลอไทด์ ALERTIDE"
ช่วยบำรุง ฟื้นฟู ดูแลระบบสมองและระบบประสาท ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ และช่วยเพิ่มความจำ เสริมสร้างสมาธิ และความสามารถในการเรียนรู้ ลดปัญหาภาวะสมาธิสั้น

👉โทร คุณนุ่น 095-2344214
☎Line ID :

⬇️คลิกเพื่อแอดไลน์ เพื่อรับข้อมูลสาระน่ารู้
https://line.me/R/ti/p/%40sirinunshop

คลิ๊กเว็ปไซด์ศึกษาข้อมูลและประสบการณ์ผู้ใช้
http://www.dnetworkbynoon.com/

ติดตามแฟนเพจ เราได้ที่
https://www.facebook.com/AlertideByNamoon/

ข้อสรุปจากงานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าบ่อยครั้งหลังออกกำลังกาย คนเรามักจะมีความรู้สึกโหยหาอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งของหวาน...
30/05/2020

ข้อสรุปจากงานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าบ่อยครั้งหลังออกกำลังกาย คนเรามักจะมีความรู้สึกโหยหาอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งของหวานมากขึ้น ซึ่งอาการดังกล่าวอาจทำให้เราเผลอกินเยอะเกินจำเป็น จนทำให้การออกกำลังกายที่ผ่านไปสูญเปล่าไปเลยก็ได้

อาการที่เกิดขึ้นเรียกว่า อาการโหยหาน้ำตาล หรือ Sugar Craving เกิดจากสมองสั่งให้ร่างกายรีบเติมพลังงานเข้าไปทดแทนสิ่งที่เสียไปหรือเพื่อซ่อมแซมความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งสิ่งที่ร่างกายต้องการก็คือคาร์โบไฮเดรต และของที่ให้คาร์โบไฮเดรตได้เร็วที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นแป้งและน้ำตาล

สำหรับการแก้อาการโหยหาน้ำตาลเบื้องต้นก็คือ ต้องทำใจแข็งและหันไปหาอาหารที่มีน้ำตาลแต่ให้คุณประโยชน์ เช่น ผลไม้ นม ขนมปังโฮลวีต หรือน้ำผึ้ง แต่วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดอาการโหยหาน้ำตาลคือ ต้องไม่ออกกำลังกายให้หนักจนเกินไปในขณะที่ท้องว่าง ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าถ้าเราออกกำลังกายในขณะที่ท้องว่าง ร่างกายเราจะได้เผาผลาญไขมันที่สะสมมาก่อนหน้านี้ แต่ความจริงมันไม่ใช่เลย ถ้าเป็นไปได้เราควรจะหาอาหารมารองท้องเสียก่อนที่จะเริ่มต้นการออกกำลังกาย

นอกจากการออกกำลังกายหนักเกินไปแล้ว อาการโหยหาน้ำตาลยังเกิดขึ้นได้เพราะเราพักผ่อนไม่เพียงพอด้วย การนอนไม่หลับหรือนอนน้อยจะส่งผลให้เคมีในร่างกายเกิดอาการแปรปรวนจนอ่อนเพลีย และทำให้ร่างกายจะเข้าใจผิดว่ากำลังขาดอาหาร สมองเลยสั่งให้เราไปหาคาร์โบไฮเดรตมาเติม

ทางที่ดีถ้าเราต้องการลดน้ำหนักหรือดูแลร่างกายให้อย่างเหมาะสม เราควรจะเริ่มต้นด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายโดยที่ไม่หักโหมจนเกินไป เพราะอะไรที่มันมากจนเกินไปไม่เคยส่งผลดีอยู่แล้วไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีแค่ไหนก็ตาม

🎗ด้วยความปรารถนาดีจาก #แม่นุ่นอเลอไทด์ #แม่นุ่นอุ่นใจ

สนับสนุนโดยผลิตภัณฑ์ "อเลอไทด์ ALERTIDE"
ช่วยบำรุง ฟื้นฟู ดูแลระบบสมองและระบบประสาท ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ และช่วยเพิ่มความจำ เสริมสร้างสมาธิ และความสามารถในการเรียนรู้ ลดภาวะสมาธิสั้น

👉โทร คุณนุ่น 095-2344214
☎Line ID :

⬇️คลิกเพื่อแอดไลน์ เพื่อรับข้อมูลสาระน่ารู้
https://line.me/R/ti/p/%40sirinunshop

7 ข้อดีของการกอดลูกทุกวัน"วันนี้คุณกอดลูกแล้วยัง"💞 กอด ลูกตั้งแต่ 3 ขวบเป็นต้นไป โลกใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ และสังคม...
12/05/2020

7 ข้อดีของการกอดลูกทุกวัน

"วันนี้คุณกอดลูกแล้วยัง"

💞 กอด ลูกตั้งแต่ 3 ขวบเป็นต้นไป โลกใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ และสังคมใหม่ๆ จะส่งผลต่อบุคลิกภาพและอารมณ์ของลูก อาทิ บางคนขี้อายและเก็บตัว บางคนร่าเริงและกล้าแสดงออก หรือบางคนดื้อและก้าวร้าว การปรับและควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมเหล่านี้ที่ดีที่สุด คือ การกอดและการพูดคุย เพื่อเป็นการสร้างให้ลูกรับรู้ถึงความรักและความใส่ใจที่พ่อและแม่มีต่อลูกในทุก ๆ จังหวะชีวิต ซึ่งเมื่อพ่อแม่ทำอย่างต่อเนื่อง ลูกจะรับรู้และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรวมถึงภาวะด้านอารมณ์ได้ดีขึ้น

การกอดนอกจากจะช่วยให้ต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมนออกซิโทซิน (Oxytocine) ออกมาแล้ว การกอดกันยังช่วยเพิ่มความรักความผูกพันระหว่างคนกอดกับคนที่ถูกกอดอีกด้วยนะคะ โดยเฉพาะการที่พ่อแม่กอดลูกนั้น นอกจากเป็นการกระตุ้นบทบาทของพ่อกับแม่แล้ว การกอดลูกยังเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขาด้วยค่ะ

1. ลูกจะรับรู้ถึงความรักจากพ่อแม่ เวลาที่แม่กอดลูก ลูกกอดพ่อแม่ คนในครอบครัวกอดกัน คือการแสดงความรักอย่างหนึ่ง เนื่องจากการกอดเป็นการแสดงความรักที่นุ่มนวล อบอุ่น

2. ลูกจะมีกำลังใจในการทำกิจกรรมอื่นๆ กำลังใจจากพ่อแม่เป็นสิ่งสำคัญ เป็นพลังให้สามารถทำอะไรก็ตามได้อย่างเต็มที่และดีที่สุด เช่น ก่อนสอบ ก่อนแข่งกีฬา ก่อนทำกิจกรรมต่างๆ การที่พ่อแม่บอกลูกว่าสู้ๆ นะลูกพร้อมกับอ้อมกอดอุ่นเท่านี้ก็ได้กำลังใจมาเต็มเปี่ยมแล้ว

3. ลูกจะรู้สึกอบอุ่น อากาศเย็นๆ กอดลูกแล้วอุ่นดี

4. ลูกได้รับการเยียวยา โดยเฉพาะเวลาลูกไม่สบายกอดของแม่ช่วยให้ลูกหายป่วยเร็วขึ้น หรือเวลาลูกเสียใจ กอดของพ่อก็ช่วยเยียวยาจิตใจได้เช่นกัน

5. การกอดลูกเป็นภูมิคุ้มกันจากความกลัว หลายครั้งที่เกิดอันตราย หรือรู้สึกมีภัย พ่อแม่มักจะกอดลูกเพื่อปกป้องเขาจากอุบัติเหตุ หรือจากคนร้าย ทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัยจากอันตรายรอบตัว

6. ลูกรู้จักเห็นคุณค่าในตัวเอง การกอดลูกบ่อยๆ ทำให้ลูกไม่รู้สึกถูกทอดทิ้ง เขาจะรับรู้ได้ว่าตนเองเป็นที่ต้องการของพ่อแม่ ทำให้เด็กๆ รู้จักคุณค่าของตัวเอง รู้จักเชื่อมั่นในตนเอง

7. ลูกจะมีสายสัมพันธ์กับครอบครัวอย่างเหนียวแน่น เพราะกอดเป็นภาษากายที่ใช้ทดแทนความรู้สึกหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะ เป็นห่วง คิดถึง ขอบคุณ ขอโทษ แม้ไม่ได้สื่อสารด้วยวาจา การกอดและการลูบหลังเบาๆ เป็นภาษากายที่แทนคำว่าห่วงใย

การ “กอด” นับเป็นยาวิเศษที่หาง่ายได้ทุกที่ทุกเวลา ดังนั้น เราควรใส่ใจและหันมากอดลูกตั้งแต่วันนี้ เพราะมีส่วนช่วยในทุกด้านของพัฒนาการทั้งร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ ส่งผลให้ลูกเป็นคนดีและเข้าถึงจิตใจและเห็นใจคนอื่นได้ในอนาคต ดังนั้น ในวันนี้เราควรจะเริ่มกอดกันและกัน ไม่ต้องรอเทศกาลใดๆ เพราะเราสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา

⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘⚘

🎗ด้วยความปรารถนาดีจาก "อเลอไทด์ ALERTIDE"
บำรุงฟื้นฟูระบบสมองและบำรุงระบบประสาท ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ และช่วยเพิ่มความจำ เสริมสร้างสมาธิ และความสามารถในการเรียนรู้

👉โทร คุณนุ่น 095-2344214
☎Line ID :

⬇️คลิกเพื่อแอดไลน์ เพื่อรับข้อมูลสาระน่ารู้
https://line.me/R/ti/p/%40sirinunshop

🍠🍊9 อาหารมีประโยชน์ “ช่วยบำรุงสมองและร่างกาย” ให้พร้อมทำงานตลอดวัน!!ร่ายกายของเรานั้นถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เพราะในแต่ละวั...
30/04/2020

🍠🍊9 อาหารมีประโยชน์ “ช่วยบำรุงสมองและร่างกาย” ให้พร้อมทำงานตลอดวัน!!
ร่ายกายของเรานั้นถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เพราะในแต่ละวันต้องใช้พลังงานในการทำงาน เพราะฉะนั้นอาหารที่ทานในแต่ละวันควรมีประโยชน์ต่อร่างกาย และไม่ควรทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เพราะจะยิ่งส่งผลร้ายต่อร่างกายในระยะยาว เราจึงควรหันมารักสุขภาพ ทานอาหารที่มีประโยชน์กันดีกว่า

🍊1. ส้ม เป็นผลไม้ให้วิตามิน C สูงจะช่วยในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว และภูมิต้านทานโรค ทั้งยังมีไฟเบอร์สูงช่วยระบบขับถ่ายและเสริมสร้างคอลลาเจนในผิวด้วย

🌱2. คะน้า มีสารเบต้าแคโรทีนสูงซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่างๆ ได้ดี มีวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและแคลเซียมที่ดูแลกระดูกให้แข็งแรงด้วย

🌳3. บร็อคโคลี่ แหล่งวิตามินซี เอ และเค ทั้งยังมีเบต้าแคโรทีนสูงจะช่วยในการบำรุงสายตา มีสารไอโซธิโอไซยาเนทส์ (Isothiocyanates) ที่ช่วยต้านมะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และวิตามินเคที่ช่วยเสริมแข็งแรงของกระดูกอีกด้วย

🍠4. มันเทศ ที่อุดมไปด้วยเบตาแคโรทีนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา ทำให้ตับอ่อนแข็งแรง มีสารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีวิตามินบี 5 บี 6 ที่ช่วงในการลดน้ำหนักโดยตรง วิตามินซี ทำให้ผิวสวย และที่สำคัญคือ มันเทศมีสารต้านมะเร็งสูง

🐟5. ปลา นอกจากให้โปรตีนสูง ยังมีโอเมก้า 3 ที่ช่วยในการทำงานของสมอง ตับ ระบบประสาทเกี่ยวกับการเรียนรู้ และยังช่วยลดคอเลสเตอรอลลง ซึ่งปลาที่มีโอเมก้าสูงได้แก่ ปลาทะเลอย่างแซลมอน แม็คเคอเรล ทูน่า รวมทั้งปลาน้ำจืดอย่างปลาสวาย เป็นต้น

🥚6. ไข่ไก่ ซึ่งมีโปรตีนสูงทำให้คุณได้พลังงานแต่ไม่อ้วน ไข่ไก่ถือว่าเป็นสุดยอดอาหารที่หาได้ง่าย

🥜7. ถั่วทุกชนิด จะให้โปรตีนที่สูงและยังเป็นแหล่งของธาตุเหล็ก ซึ่งในถั่ว 1 ถ้วย จะให้ธาตุเหล็กที่สูงถึง 16 มิลลิกรัม และยังมีไฟเบอร์ช่วยระบบขับถ่ายทำงานได้ดีอีกด้วย

🥃8. โยเกิร์ต จะมีสารที่มี ประโยชน์เยอะมากไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินบี 12 และโปรตีน ซึ่งเราควรทานโยเกิร์ตให้ได้วันละ 1 ถ้วย ระบบต่างๆในร่างกายจะทำงานได้ดีขึ้น

🍵9. ชา จะมีสารฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ที่ดีต่อระบบทำงานในร่างกาย

ซึ่งจะต้องดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นอัลไซเมอร์ มะเร็ง และทำให้สุขภาพฟันและกระดูกแข็งแรงขึ้นด้วย

ขอบคุณที่มา gangbeauty

🎗ด้วยความปรารถนาดีจาก #แม่นุ่นอเลอไทด์ #แม่นุ่นอุ่นใจ

สนับสนุนโดยผลิตภัณฑ์ "อเลอไทด์ ALERTIDE"
ช่วยบำรุง ฟื้นฟู ดูแลระบบสมองและระบบประสาท ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ และช่วยเพิ่มความจำ เสริมสร้างสมาธิ และความสามารถในการเรียนรู้ ลดภาวะสมาธิสั้น

👉โทร คุณนุ่น 095-2344214
☎Line ID :

⬇️คลิกเพื่อแอดไลน์ เพื่อรับข้อมูลสาระน่ารู้
https://line.me/R/ti/p/%40sirinunshop

ที่อยู่

ปากเกร็ด
Ban Pak Kret
11120

เบอร์โทรศัพท์

+66952344214

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ อเลอไทด์ Alertide บำรุงสมองผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง อเลอไทด์ Alertide บำรุงสมอง:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram