02/06/2025
**สถานการณ์โควิด-19 ในปี 2025**
ในปี 2025 โควิด-19 ยังคงเป็นประเด็นสำคัญของสาธารณสุขทั่วโลก แม้ว่าระดับความรุนแรงโดยรวมลดลงเมื่อเทียบกับช่วงการระบาดใหญ่ระลอกก่อน แต่ยังคงพบการระบาดเป็นระยะและการกลายพันธุ์ของไวรัสที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ([World Health Organization][1], [The Sun][2])
หนึ่งในสายพันธุ์ที่สหภาพยุโรป และองค์การอนามัยโลก (WHO) กำลังจับตามอง คือ สายพันธุ์ NB.1.8.1 ซึ่งตรวจพบครั้งแรกในเดือนมกราคม 2025 สายพันธุ์นี้มีอัตราการแพร่ระบาดสูงกว่าเดิม แต่ยังไม่พบหลักฐานว่าทำให้ผู้ป่วยป่วยหนักกว่าเดิม ทั้งนี้ สายพันธุ์ NB.1.8.1 ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม “Variant Under Monitoring” ซึ่งหมายถึงยังต้องเฝ้าระวัง ([The Sun][2], [ElHuffPost][3])
ในประเทศไทย สถานการณ์การติดเชื้อยังมีการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีรายงานผู้ป่วยใหม่หลายแสนรายในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ กล่าวกันว่าเกินกว่า 257,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตกว่า 52 ราย ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อสายพันธุ์ NB.1.8.1 เป็นส่วนใหญ่ ([The Sun][2], [World Health Organization][1]) ถึงแม้จำนวนผู้ป่วยใหม่จะสูงขึ้น แต่ด้วยระบบการดูแลรักษาที่พร้อมเพรียง การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และมาตรการสาธารณสุขที่เคร่งครัด เช่น การใส่หน้ากากในที่สาธารณะและการตรวจคัดกรองเชิงรุก ทำให้ผู้ป่วยรุนแรงถึงขั้นต้องใส่ท่อช่วยหายใจมีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ([The Sun][2], [World Health Organization][1])
**แนวทางป้องกันและคำแนะนำสำหรับประชาชน**
1. **การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster Dose)**
* ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ครอบคลุมสายพันธุ์ย่อยใหม่ ทั้งวัคซีน mRNA และวัคซีนเชื้อตาย เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้เพียงพอต่อการรับมือสายพันธุ์ NB.1.8.1 แม้ว่าจะมีการกลายพันธุ์ แต่ข้อมูลจาก WHO ระบุว่าวัคซีนปัจจุบันยังให้ประสิทธิภาพในการลดอาการรุนแรงและการเสียชีวิตได้อย่างดี ([The Sun][2], [ElHuffPost][3])
* กลุ่มเป้าหมายสำคัญได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคปอดเรื้อรัง) และบุคลากรทางการแพทย์ ควรรับวัคซีนเข็มกระตุ้นภายใน 6 เดือนหลังฉีดเข็มหลักครั้งสุดท้าย ([The Sun][2], [World Health Organization][1])
2. **ใส่หน้ากากและปฏิบัติมาตรการสุขอนามัยพื้นฐาน**
* แม้การระบาดจะไม่รุนแรงเหมือนช่วงก่อน แต่การสวมหน้ากากโดยเฉพาะในพื้นที่แออัด ระบบขนส่งสาธารณะ หรือในอาคารที่มีคนจำนวนมากยังคงจำเป็นอย่างยิ่ง ([The Sun][2], [World Health Organization][1])
* ล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังใช้บริการสาธารณะ และหลังไอจามจามจ่าย เพื่อป้องกันการสัมผัสสารคัดหลั่งที่อาจมีเชื้อโควิด-19 ([The Sun][2], [World Health Organization][1])
3. **การตรวจคัดกรองและรักษาตัวที่บ้าน (Home Isolation)**
* ผู้ที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เจ็บคอ ไอ หรือมีอาการทางเดินหายใจอื่น ๆ ควรตรวจด้วยชุดตรวจ ATK ทันท่วงที หากผลบวกควรแยกกักตัวในบ้าน ลดการแพร่เชื้อให้คนในครอบครัวเก็บตัวในห้องที่แยกจากส่วนอื่น ๆ หากมีอาการหนัก เช่น หายใจเหนื่อยหอบ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที ([The Sun][2], [World Health Organization][1])
4. **การตรวจติดตามสายพันธุ์และข่าวสารจากหน่วยงานสาธารณสุข**
* ติดตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านสาธารณสุข (ศบค.) และ WHO อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยเฉพาะแนวโน้มสายพันธุ์โควิดใหม่ที่อาจเกิดขึ้น ([The Sun][2], [World Health Organization][1])
* การเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิดในห้องปฏิบัติการระดับประเทศและนานาชาติ เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถปรับกลยุทธ์การฉีดวัคซีนและมาตรการควบคุมโรคได้ตรงจุดยิ่งขึ้น ([The Sun][2], [ElHuffPost][3])
**บทสรุป**
ถึงแม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2025 จะไม่รุนแรงเท่าช่วงพีคใหญ่ แต่โลกและประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับการระบาดใหม่ของสายพันธุ์ NB.1.8.1 ที่แพร่กระจายได้เร็วกว่าเดิม การป้องกันที่ได้ผลที่สุดยังคงเป็นการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น การสวมหน้ากาก การล้างมือ และการตรวจคัดกรองเมื่อมีอาการ โดยควรร่วมมือกันเฝ้าระวังรับข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเราทุกคนปฏิบัติตามมาตรการเหล่านี้อย่างจริงจัง จะช่วยลดภาระระบบสาธารณสุข และนำพาให้สังคมกลับคืนสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น ([The Sun][2], [World Health Organization][1])