21/09/2022
ใครบอกว่าวิ่ง แล้วจะดีจริงเสมอไป?
ในปัจจุบัน การวิ่งออกกำลังกายเป็นที่นิยมกันมากในคนทุกช่วงวัยอายุ เนื่องจากง่ายและเป็นที่รู้กันว่าคุณหมอหรือแพทย์ หลายๆท่านแนะนำให้เลือกการวิ่งเป็นการดูลสุขภาพ เพราะคิดว่าปลอดภัยและง่าย
แต่หารู้ไม่ว่า การวิ่งก็ไม่ได้มีข้อดีเสมอไป หากเรา” วิ่งไม่ถูกวิธี “
เพราะร่างกายของคนเราแต่ละคน มีโครงสร้างและระบบกลศาสตร์ที่ต่างกัน ตั้งแต่หัวจนถึงเท้า บางคนหลังค่อม, บางคนหลังแบน ก็มีผลทำให้ การลงน้ำหนักเวลาวิ่งแตกต่างกัน นอกจากนั้นปัจจัยภายนอก อย่างเช่นรองเท้าก็มี
ถ้าชอบวิ่ง ต้องระวังอะไร
วิ่งเยอะๆวิ่งไม่ถูกจะเกิดอะไรขึ้น
วันนีเพจ"ข้อดีๆ" จะมาดูกันว่าปัญหาที่อาจจะเกิดได้จากการวิ่งแบบผิดๆ ที่เจอกันบ่อย มีอะไรบ้าง
1. Patellofemoral pain syndrome = ปวดบริเวณหน้าลูกสะบ้าและรอบๆหัวเข่า เกิดจากการเสียดสี, งอ-เหยียดเข่าบ่อยๆ และลงนํ้าหนักหน้าเข่าเยอะกว่าปกติ
2. Achilles Tendinitis = ปวด บวม แดง หลังส้นเท้า เกิดจาก น่องตึงไม่ยืดก่อนวิ่ง กระโดดสูงซํ้าๆ
3. Iliotibial Band Syndrome = ปวดเข่าด้านข้างฝั่งด้านนอก เป็นซํ้าๆ เกิดจาก เวลาวิ่งงอเข่าแล้วชอบบิดเข่าเข้าด้านใน
4. Patellar tendinitis = ปวดหน้าเข่า ใต้ลูกสะบ้าไม่ทั้งเข่า เกิดจาก กระโดดเยอะ ลงนํ้าหนักผิด
5. Shin splints = ปวดอักเสบหน้าแข้ง เกิดจาก วิ่งเยอะ เกร็งเท้าเวลาวิ่ง
6. Plantar Fasciitis (รองชํ้า) = ปวดใต้ฝ่าเท้าและส้น โดยเฉพาะก้าวแรกของวัน เกิดจาก เท้าแบน วิ่งบนพื้นแข็ง
อาการที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ในขั้นแรกควรใช้เทคนิค R.I.C.E.
1. R คือ Rest หรือการหยุดพัก เมื่อเกิดอาการ
2. I คือ Ice คือ การประคบเย็น
3. C คือ Compress คือ การพันกระชับบริเวณที่เจ็บ ให้เคลื่อนไหวน้อยที่สุด
4. E คือ Elevation คือ การยกสูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อลดอาการปวดบวม
หากมีอาการบาดเจ็บซ้ำๆเรื้อรัง พักการใช้งานแล้ว รวมถึงปฏิบัติตามหลัก R.I.C.E. แล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น
ควรปรึกษาแพทย์และนักกายภาพบำบัด เพื่อประเมินอาการบาดเจ็บและทำการรักษาอย่างถูกวิธี