08/11/2025
กระดูกพรุน กระดูกหัก การตรวจ ป้องกัน รักษาที ถูกต้องเหมาะสม 2025
สาระสำคัญ เกี่ยวกับการตรวจ ต้องตรวจหรือไม่ ตรวจเมื่อไร เมื่อไหร่ ต้องใช้ยา ยาอะไรที่ได้ผล และ ผลข้างเคียง
วารสาร Lancet 25/10/2025
สาระสำคัญจากบทความ “Osteoporosis” (The Lancet, ตุลาคม 2025)
รวบรวมหลักฐานจากรายงาน รัดกุม ระบุประเด็นที่จำเป็นหรือไม่จำเป็นที่ต้องทำ
ชี้ ถึงข้อปฏิบัติที่ทำกันอยู่ทั่วไปและอาจไม่ได้ผลในการ“พิจารณาความเสี่ยง”ว่าจะเกิดกระดูกหักโดยทำการวัดความหนาแน่นของกระดูกและในการให้แคลเซี่ยมและวิตามินดี ทั้งนี้โดยที่มีการวัดระดับวิตามินดีในเลือด ซึ่งอาจไม่มีประโยชน์ที่ทำในระดับประชากรทั่วไป
* ความหนาแน่นของกระดูก และระดับวิตามินดี ไม่จำเป็น“ต้อง”ตรวจเสมอไป
1. การตีความผลการตรวจความหนาแน่นของกระดูก ที่ยึดถือค่าต่ำกว่าค่ามาตรฐาน หรือ - 2 SD standard deviation
* ได้ผลไม่ชัดเจน และไม่ครอบคลุม
หญิง ≥65 ปี และชาย ≥70 ปี
(แต่ไม่ชัดเจนทั้งนี้ สาธารณสุขของแคนาดาแนะนำที่อายุ 70 ปีขึ้นไปทั้งผู้ชายและผู้หญิง)
* และเช่นเดียวกันสมาคมต่อมไร้ท่อ และราชวิทยาลัยต่อมไร้ท่อของอเมริกา 2024 แนะนำการตรวจความหนาแน่นของกระดูก “ต่อเมื่อมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดมีกระดูกหักง่าย”ขึ้นเท่านั้น
* แคลเซี่ยมควรใช้จากธรรมชาติ “ถ้าจำเป็นต้องใช้” เสริมได้วันละไม่เกิน 500 มิลลิกรัม
* ข้อที่ต้องพิจารณาและถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ คือการหักโดยที่เกิดขึ้นจากแทบไม่มีแรงกระแทก trauma ทักแล้วติดยาก หักซ้ำซ้อน มีประวัติหักในครอบครัว
* ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ: อายุ, พันธุกรรม, ภาวะขาดฮอร์โมน, น้ำหนักตัวต่ำ, ขาดการออกกำลังกาย, การสูบบุหรี่, การดื่มแอลกอฮอล์, โรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน, รูมาตอยด์), และยาบางชนิด (เช่น สเตียรอยด์)
* ข้อบ่งชี้ชัดเจน
วิตามินดี มีที่ใช้ในบางกรณีเท่านั้น
การพิจารณาปัจจัยเสี่ยงทางคลินิกจึงเป็นสิ่งสำคัญ “ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีข้อมูล ความหนาแน่นของกระดูกหรือไม่“
โภชนาการและอาหารเสริม
• แคลเซียม: แนะนำ 700–1200 mg/วัน จาก“อาหารเป็นหลัก”
• หากจำเป็นต้องเสริม ไม่เกินครั้งละ 500 mg
• Calcium citrate เหมาะสำหรับผู้ใช้ยาลดกรดหรือ proton pump inhibitor
• วิตามิน D: ไม่มีหลักฐานว่าช่วยลดการหักกระดูกในคนทั่วไปที่ได้รับแสงแดดพอเพียง
• ควรตรวจเฉพาะผู้มีความเสี่ยงขาดวิตามิน D
• ระดับที่เหมาะสม ≥50 nmol/L
• วิตามิน K2: มีข้อมูลว่าช่วยเพิ่ม BMD ที่กระดูกสันหลัง แต่ผลต่อการหักกระดูกยังไม่แน่ชัด
แนวทางการให้ยาป้องกันการหักกระดูก
•ยากลุ่ม Antiresorptive (ยับยั้งการสลายกระดูก)
-Bisphosphonates เช่น alendronate, risedronate, zoledronic acid
- Denosumab ยาฉีดทุก 6 เดือน มีประสิทธิภาพสูง แต่“ต้องหยุดยาอย่าง ระมัดระวังเพื่อความ ปลอดภัย”เพราะมี rebound bone loss และเสี่ยงหักกระดูกหลายจุดหลังหยุดยา
• ยากลุ่ม Anabolic (กระตุ้นสร้างกระดูก)
-Teriparatide, Abaloparatide (กระตุ้น PTH receptor)
-Romosozumab (ต้าน sclerostin) มีประสิทธิภาพสูงกว่ากลุ่ม antiresorptive ในการเพิ่ม BMD และลดการหักกระดูกทุกชนิด
ห้ามใช้ในผู้ที่มีโรคหัวใจหรือหลอดเลือดสมองในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
• การสลับยา (Sequential therapy)
• เริ่มจาก anabolic ก่อน แล้วต่อด้วย antiresorptive ได้ผลดีที่สุด
• หากเริ่มจาก antiresorptive ก่อน อาจตอบสนองต่อ anabolic ได้ลดลง
การรักษาในผู้สูงอายุและผู้มีโรคร่วม
• แม้อายุเกิน 85 ปี ยังอาจได้ประโยชน์จากการรักษา โดยเฉพาะถ้ามีอายุคาดหวัง >6–12 เดือน
•ต้องระวัง polypharmacy การใช้ยาหลายตัว และภาวะไตเสื่อม
•Bisphosphonates ห้ามใช้ถ้า eGFR