หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน จังหวัดสกลนคร

หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน จังหวัดสกลนคร หน่วยกู้ชีพ และรับแจ้งเหตุ 1669

วันที่15 สิงหาคม 2568 ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ1669 ได้รับเกียรติเป็นวิทยากร จากเทศบาลเหล่าปอแดง อ.เมืองสกลนคร จ.สกลนคร...
15/08/2025

วันที่15 สิงหาคม 2568 ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ1669 ได้รับเกียรติเป็นวิทยากร จากเทศบาลเหล่าปอแดง อ.เมืองสกลนคร จ.สกลนคร เรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน ให้แก่ กู้ชัพกู้ภัยเหล่าปอแดง ผู้นำชุมชน อสม ของเทศบาลเหล่าปอแดง ซึ่งมีวัตุประสงค์เพื่อให้ผู้ที่เข้าอบรมมีความรู้และทักษะในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสามารถช่วยเหลือตนเอง และบุคคลใกล้ตัวได้อย่างปลอดภัยก่อนถึงโรงพยาบาล ซึ่งได้รับการตอบรับและความร่วมมือเป็นอย่าง หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน จังหวัดสกลนคร ขอขอบพระคุณ นายกเทศมนตรีตำบลเหล่าปอแดง ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขเทศบาลตำบลเหล่าปอแดง ผู้น้ำชุมชน อสม กู้ชีพกู้ภัยเทศบาลเหล่าปอแดง ตลอดถึงผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่าน ที่ไว้วางใจให้เราได้มีโอกาสให้ความรู้ในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณค่ะ

ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไวรัสโควิด-19 ยังคงมีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เกิดสายพันธุ์ย่อยใหม่ๆ ขึ้นมาเป็นระยะๆ สาย...
09/06/2025

ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไวรัสโควิด-19 ยังคงมีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เกิดสายพันธุ์ย่อยใหม่ๆ ขึ้นมาเป็นระยะๆ สายพันธุ์ที่กำลังเป็นที่จับตาและมีการแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ (ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2568) คือ สายพันธุ์ NB.1.8.1 (ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน JN.1) และสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ ในตระกูล Omicron เช่น XEC, KP.3, LP.8.1

รายละเอียดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ (NB.1.8.1 และสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนที่พบได้บ่อย):

1. ลักษณะเด่นและการแพร่กระจาย:

การกลายพันธุ์: ไวรัสมีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งโปรตีนหนาม (Spike protein) ซึ่งช่วยให้สามารถจับกับเซลล์ของมนุษย์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีนหรือการติดเชื้อครั้งก่อนหน้าได้บางส่วน
การแพร่เชื้อที่รวดเร็ว: สายพันธุ์เหล่านี้มักจะมีความสามารถในการแพร่กระจายได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย
ความรุนแรงของโรค: โดยรวมแล้ว สายพันธุ์ใหม่เหล่านี้ (โดยเฉพาะตระกูลโอมิครอน) มักจะก่อให้เกิดอาการที่ไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์เดลต้าหรือสายพันธุ์ดั้งเดิม และมักติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนมากกว่าลงปอด อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง หรือผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ยังคงมีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
2. อาการและอาการแสดง:

อาการที่พบบ่อยจากสายพันธุ์ใหม่เหล่านี้ มักคล้ายกับไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ซึ่งอาจแตกต่างจากอาการของโควิด-19 ในช่วงแรกๆ ที่มักมีการสูญเสียการรับรสและกลิ่นอย่างชัดเจน อาการที่พบบ่อยได้แก่:

ไข้ (อาจมีหรือไม่มีก็ได้)
ไอ (อาจเป็นไอแห้งหรือไอมีเสมหะ)
เจ็บคอ / คอแห้ง / คันคอ (บางรายอาจเจ็บมากคล้ายมีดบาด)
น้ำมูกไหล / คัดจมูก
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและอ่อนเพลีย
ปวดศีรษะ
เสียงแหบ หรือเสียงเปลี่ยน
เหงื่อออกมากตอนกลางคืน
ตาแดง (ในบางราย)
ผื่นขึ้นตามตัว (ในบางราย)
ท้องเสีย (ในบางราย)
คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร (ในบางราย)
การสูญเสียการรับรสหรือกลิ่น (พบได้น้อยลงในสายพันธุ์ใหม่นี้ แต่ก็ยังอาจพบได้ในบางราย)
อาการที่ควรระวังและรีบปรึกษาแพทย์ (อาจบ่งชี้ถึงอาการรุนแรง):

หายใจลำบาก หอบเหนื่อย หายใจได้ไม่เต็มปอด
รู้สึกแน่นหน้าอก หรือเจ็บหน้าอกต่อเนื่อง
รู้สึกสับสน ง่วงซึม หรือหมดสติ
ผิวหนังเย็น ซีด หรือคล้ำลง
ไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้เมื่อหายใจ
3. วิธีป้องกันตนเองและประชาชนทั่วไป:

แม้จะมีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น แต่หลักการป้องกันโรคยังคงมีประสิทธิภาพและเป็นสิ่งสำคัญที่สุด:

ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และวัคซีนเข็มกระตุ้น: การฉีดวัคซีนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความรุนแรงของโรค การเข้าโรงพยาบาล และการเสียชีวิต วัคซีนรุ่นใหม่ๆ ยังคงให้ภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอนได้ดี
สวมหน้ากากอนามัย: โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในที่แออัด อากาศไม่ถ่ายเท หรือเมื่อต้องใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง
ล้างมือบ่อยๆ: ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ (ความเข้มข้นแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 70%)
รักษาระยะห่างจากผู้อื่น: โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการป่วย
หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด หรือการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก: หากจำเป็น ควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด
หากมีอาการป่วย: ควรรีบตรวจ ATK และแยกกักตัวจากผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อพื้นผิวที่มีการสัมผัสบ่อยๆ
ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
หมายเหตุ: ข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงและอัปเดตอยู่เสมอ ควรติดตามข้อมูลล่าสุดจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น กระทรวงสาธารณสุข หรือองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อความถูกต้องและทันสมัยที่สุด

ตามข้อมูลล่าสุดที่สามารถสืบค้นได้จากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และข่าวสารต่างๆ ณ ต้นเดือนมิถุนายน 2568 สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยยังคงมีการระบาดต่อเนื่อง โดยมีตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้น

สำหรับสัปดาห์ที่ 22 (วันที่ 25 - 31 พฤษภาคม 2568) พบผู้ป่วยโควิด-19 สูงสุดที่ 93,621 คน และในสัปดาห์ปัจจุบัน (1-7 มิถุนายน 2568) มีรายงานพบผู้ป่วยแล้ว 28,392 คน

ส่วนยอดสะสมตั้งแต่ 1 มกราคม - 3 มิถุนายน 2568 พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวน 324,692 คน และมีผู้เสียชีวิตสะสม 63 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 1 มิ.ย. 68)

โดยรวมแล้ว สถานการณ์โควิด-19 ยังคงเป็นช่วงที่ต้องระวังต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง

ข้อมูลดังกล่าวเป็นตัวเลขที่รายงานโดยกรมควบคุมโรค และอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์

 # #ไข้เลือดออก (Dengue fever) # # # #   ห่วงใยบุตรหลานและคนที่เรารัก มาๆๆมามุงดูทางนี้  # # #ไข้เลือดออกเป็นยังงัยไปอ่า...
25/05/2025

# #ไข้เลือดออก (Dengue fever) # # # # ห่วงใยบุตรหลานและคนที่เรารัก มาๆๆมามุงดูทางนี้ # # #ไข้เลือดออกเป็นยังงัยไปอ่านกันเล้ยยยยย # # #
ไข้เลือดออก (Dengue fever) คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรคสู่คนผ่านการกัดของยุงลายที่เคยกัดคนที่ติดเชื้อไวรัสเดงกี 1 ใน 4 สายพันธุ์ (DENV-1—DENV-4)

ไข้เลือดออก มีอาการอย่างไร?
ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเดงกี (DENV) ที่เป็นสาเหตุของโรคไข้เลือดออกครั้งแรกกว่าร้อยละ 90 มักไม่มีอาการ หรือมีอาการไม่รุนแรงคล้ายไข้หวัดธรรมดา โดยเริ่มมีอาการใน 4-10 วันหลังจากที่โดนยุงลายพาหะกัดและผ่านพ้นระยะฟักตัวของไวรัสไปแล้ว ในกรณีที่เป็นผู้ติดเชื้อไวรัสเดงกีเป็นครั้งที่ 2 และเป็นเชื้อไวรัสเดงกีต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก อาการของไข้เลือดออกอาจพัฒนาไปสู่การเป็นโรคไข้เลือดออกรุนแรง (Dengue hemorrhagic fever) อาการไข้เลือดออกแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้

1.ระยะไข้สูง (Febrile phase) เป็นระยะที่ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเดงกีมีไข้สูงลอยแบบเฉียบพลัน 39-40 องศาเซลเซียส ติดต่อกัน 2-7 วัน โดยมีอาการคล้ายไข้หวัดแต่ไม่มีอาการไอและไม่มีน้ำมูก และมักไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้ ปวดศีรษะปวดตามร่างกาย เบื่ออาหาร

2.ระยะวิกฤต (Critical phase) เป็นระยะที่ 2 ของโรคไข้เลือดออกหรือประมาณ 3-7 วันหลังระยะไข้สูง ซึ่งผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่ได้เข้าสู่ระยะนี้ ระยะวิกฤตเป็นระยะที่ต้องเฝ้าระวังมากที่สุด เนื่องจากอาจเกิดภาวะช็อกจากไข้สูง หรือช็อกจากอาการเลือดออกที่อวัยวะภายในที่เกิดจากสารน้ำในหลอดเลือดรั่วไหลออกนอกหลอดเลือด เช่น น้ำเหลืองรั่วไหลไปยังช่องปอด ตับ หรือช่องท้อง ทำให้ความดันโลหิตต่ำ ชัก หมดสติ และหัวใจหยุดเต้นที่นำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด ระยะวิกฤตมีอาการดังต่อไปนี้
ปวดท้องอย่างรุนแรง (บริเวณชายโครงขวา) ที่อาจมีสาเหตุจากภาวะตับโต (Hepatomegaly)
คลื่นไส้ อาเจียนอย่างต่อเนื่อง เบื่ออาหาร
ภาวะเลือดออกผิดปกติ
เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล
ปัสสาวะหรืออุจจาระปนเลือด หรืออาเจียนเป็นเลือด
มีจ้ำเลือด หรือจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามผิวหนัง
หายใจลำบาก หายใจถี่เร็ว
อาการกระสับกระส่าย กระวนกระวาย
เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย มีอาการซึม
มือเท้าเย็น ตัวเย็น
มีเหงื่อออกตามตัว
ปัสสาวะน้อย
ชีพจรเบาเร็ว
ประจำเดือนมามาก หรือมานานผิดปกติ (ในเพศหญิง)
ภาวะช็อกจากอาการขาดน้ำหรือเสียเลือด (Hypovolemic shock) ที่มักเกิดขึ้นใน 3-8 วันหลังจากที่มีไข้สูงลอย
ไข้ลดลดลงอย่างรวดเร็ว (มักเกิดพร้อม ๆ กับภาวะช็อก)
เลือดออกในทางเดินอาหาร (มักเกิดร่วมกับภาวะช็อก)
ความดันโลหิตไม่สม่ำเสมอ วัดชีพจรไม่ได้ หรือความดันโลหิตลดต่ำในผู้ที่มีอาการรุนแรง
ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว หรือภาวะช็อก (Dengue shock syndrome)
อาจเสียชีวิต

3.ระยะฟื้นตัว (Recovery phase) เป็นระยะสุดท้ายของการเป็นไข้เลือดออก ผู้ที่ผ่านพ้นระยะไข้สูงที่ไม่ได้เข้าสู่ระยะวิกฤต หรือผู้ที่ผ่านพ้นระยะวิกฤตมาแล้ว 1 - 2 วันจะเข้าสู่ระยะฟื้นตัว เป็นช่วงที่ร่างกายค่อย ๆ ฟื้นตัว อาการต่าง ๆ ของโรคไข้เลือดออกค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ เส้นเลือดกลับมาทำงานตามปกติ โดยหากสังเกตเห็นผื่นแดงสาก ๆ เป็นวงสีขาวขึ้นตามร่างกายแสดงว่ากำลังจะหายจากโรค เป็นระยะที่มีความปลอดภัย ระยะฟื้นตัวมีสัญญาณดังต่อไปนี้
อาการทั่วไปดีขึ้นตามลำดับ
ไข้ลดลง อุณหภูมิร่างกายเป็นปกติ
ชีพจรเต้นแรงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น
ปัสสาวะออกมากขึ้น
ภาวะตับโตลดลงภายใน 1-2 สัปดาห์
อยากรับประทานอาหารมากขึ้น
มีผื่นสีแดงเล็ก ๆ สาก ๆ เป็นวงสีขาวขึ้นตามร่างกาย

การรักษาไข้เลือดออก มีวิธีการอย่างไร?
ทันทีที่ได้รับการยืนยันผลการตรวจ แพทย์จะให้การรักษาโรคไข้เลือดออกด้วยการช่วยให้ร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อกลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด ผู้ที่มีอาการในระยะไข้สูงจนถึงระยะวิกฤตที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีสารน้ำรั่วไหลในร่างกาย แพทย์จะให้การดูแลอย่างใกล้ชิดในช่วง 24-48 ชั่วโมงเพื่อป้องกันภาวะช็อก และให้การรักษาด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

การให้สารน้ำทางหลอดเลือด (Fluids replacement) หรือให้น้ำเกลือผ่านทางเส้นเลือดดำ ในผู้ที่มีการสูญเสียน้ำในร่างกายมาก อาเจียนหรือถ่ายอุจจาระอย่างต่อเนื่อง ความดันโลหิตต่ำหลังมีไข้สูง ไม่อยากอาหารหรือน้ำ แพทย์จะพิจารณาให้สารน้ำ หรือน้ำเกลือทางหลอดเลือด เพื่อชดเชยของเหลวในร่างกายที่สูญเสียไป
การให้ยาแก้ปวดลดไข้ (Strong pain relievers) เช่น ยาพาราเซตามอน (Acetaminophen) หรือ ยาอะเซตามีโนเฟน (Acetaminophen) เพื่อช่วยลดไข้ บรรเทาปวดกล้ามเนื้อและข้อ
การให้ผงเกลือแร่โอ อาร์ เอส (ORS-Oral rehydration salt) เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำในร่างกาย
การให้เลือด (Blood transfusion) ในกรณีที่มีเลือดออกมากทั้งจากอวัยวะภายใน ประจำเดือน อาเจียน หรืออุจจาระ แพทย์อาจพิจารณาให้เลือดเพื่อป้องกันภาวะช็อกจากการสูญเสียเลือดในร่างกาย

🫀 โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia): เรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม💡 โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะคืออะไร?โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ...
22/05/2025

🫀 โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia): เรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม

💡 โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะคืออะไร?
โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) คือ ภาวะที่หัวใจเต้นเร็วเกินไป ช้าเกินไป หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ ซึ่งอาจเกิดจากปัญหาทางไฟฟ้าภายในหัวใจ ส่งผลต่อการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

🔍 สาเหตุที่พบบ่อย

• ความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจหรือระบบไฟฟ้าในหัวใจ

• โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

• ความเครียด

• พักผ่อนไม่เพียงพอ

• ดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนมากเกินไป

• ยาบางชนิด เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ ยาเสพติด

🧬 ประเภทของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

• หัวใจเต้นช้า (Bradycardia): น้อยกว่า 60 ครั้ง/นาที

• หัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia): มากกว่า 100 ครั้ง/นาที

• เต้นผิดปกติจากห้องบน (Atrial arrhythmia) เช่น Atrial Fibrillation (AF)

• เต้นผิดปกติจากห้องล่าง (Ventricular arrhythmia) เช่น Ventricular Tachycardia (VT), Ventricular Fibrillation (VF)

• Premature contractions: หัวใจเต้นแทรกก่อนเวลา

⚠️ อาการที่ควรสังเกต

• ใจสั่นเหมือนหัวใจเต้นแรงหรือเร็ว

• เหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม

• หน้ามืด วิงเวียน เป็นลมหมดสติ

• เจ็บแน่นหน้าอก

อ่อนเพลียไม่มีแรง

🛡️ การดูแลเบื้องต้นเมื่อพบอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ

• ให้นั่งหรือนอนพัก ในที่ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวกะทันหัน

• สังเกตอาการ เช่น ความถี่ของหัวใจ อาการแน่นหน้าอก หรือหน้ามืด

• หากหมดสติ หรือมีอาการรุนแรง (ไม่ตอบสนอง/หยุดหายใจ) ให้ทำ CPR ทันที หากทำได้

โทรแจ้งหน่วยฉุกเฉิน 1669 ทันที พร้อมแจ้งข้อมูล:

• ลักษณะอาการที่พบ

• ระยะเวลาเกิดอาการ

• ประวัติผู้ป่วย (หากทราบ)

• ตำแหน่งที่อยู่

🧭 เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์ทันที?

• หัวใจเต้นเร็วหรือช้ามากผิดปกติ

• มีอาการใจสั่นร่วมกับแน่นหน้าอก

• เป็นลมหมดสติ โดยไม่ทราบสาเหตุ

• มีประวัติโรคหัวใจในครอบครัว

❤️ การป้องกันและดูแลตนเอง

• หลีกเลี่ยงความเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ

• ลดการบริโภคคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และอาหารเค็ม

• หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจกระตุ้นการเต้นของหัวใจโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์

• ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ (ตามคำแนะนำแพทย์ หากมีประวัติโรคหัวใจ)

• ตรวจสุขภาพหัวใจประจำปี โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือมีปัจจัยเสี่ยง

🔔 อย่าละเลยอาการเล็กน้อย เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนโรคร้าย
❤️ รู้เท่าทัน ป้องกันได้ รักษาทัน หัวใจปลอดภัยทุกจังหวะ

บาดเจ็บ - ป่วยฉุกเฉิน โทร 1669 " หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน จังหวัดสกลนคร "

เข้าฤดูฝนอย่างเป็นทางสิ่งที่เกิดขึ้น และมีการบาดเจ็บการสูญเสียชีวิตทั้งคนสัตว์และสิ่งของในช่วงหน้าฝน อีกอย่างหนึ่งนั่นคื...
08/05/2025

เข้าฤดูฝนอย่างเป็นทางสิ่งที่เกิดขึ้น และมีการบาดเจ็บการสูญเสียชีวิตทั้งคนสัตว์และสิ่งของในช่วงหน้าฝน อีกอย่างหนึ่งนั่นคือ # #ฟ้าผ่า # #
สำหรับปรากฏการณ์ฟ้าผ่า เกิดจากการปลดปล่อยประจุไฟฟ้าออกจากเมฆฝนฟ้าคะนอง หรือ เมฆคิวมูโลนิมบัส (cumulonimbus) มีลักษณะเป็นก้อนขนาดใหญ่ บริเวณฐานเมฆจะสูงจากพื้นประมาณ 2 กิโลเมตร และส่วนยอดเมฆอาจสูงถึง 20 กิโลเมตร โดยภายในก้อนเมฆจะมีการไหลเวียนของกระแสอากาศอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้หยดน้ำและก้อนน้ำแข็งในเมฆเสียดสีกันจนเกิดประจุไฟฟ้า โดยพบว่าประจุบวกมักจะอยู่บริเวณยอดเมฆ ส่วนประจุลบอยู่บริเวณฐานเมฆ ซึ่งประจุลบที่ฐานเมฆอาจจะเหนี่ยวนำให้พื้นผิวของโลกที่อยู่ใต้เงาของมันมีประจุเป็นบวกด้วย

วิธีป้องกันตัวจากฟ้าผ่า
1.หากอยู่ในที่โล่งให้หาที่หลบ ที่ปลอดภัย ตัวอย่างเช่น อาคารขนาดใหญ่
2.หากหาที่หลบไม่ได้ให้หมอบนั่งยองๆให้ตัวอยู่ต่ำที่สุด
3.อย่ายืนหลบอยู่ใต้ต้นไม้สูง หรืออยู่ในที่สูงและใกล้ที่สูง
4.ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือกลางแจ้ง ในขณะที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง
5.ห้ามใช้โทรศัพท์บ้านหรือเล่นอินเทอร์เน็ต
6.ถอดอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าออกให้หมด
7.หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับโลหะทุกชนิด และอย่าอยู่ใกล้สายไฟ
8.หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำ
9.ควรเตรียมไฟฉายไว้ส่องดูทาง เพราะอาจเกิดไฟดับหรือไฟไหม้ได้

เมื่อเกิดฟ้าผ่า
1. รีบโทรแจ้งสายด่วน 1669
2. ให้สังเกตว่า ในบริเวณที่เกิดเหตุยังมีความเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่าหรือไม่ ถ้ามี ก็ต้องทำการเคลื่อนย้ายผู้ถูกฟ้าผ่าไปยังตำแหน่งที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันตัวเราเองจากการถูฟ้าผ่าซ้ำ
3. เราสามารถแตะต้องตัวผู้ถูกฟ้าผ่าได้ทันที เนื่องจากคนที่ถูกฟ้าผ่าไม่มีกระแสไฟฟ้าหลงเหลืออยู่ในตัว ดังนั้น จึงไม่ต้องกลัวว่าเราจะถูกไฟฟ้าดูด (ต่างจากกรณีคนที่ถูกไฟฟ้าดูด)
4. หากผู้ถูกฟ้าผ่าได้รับบาดเจ็บหมดสติไม่รู้ตัว หัวใจหยุดเต้น และไม่หายใจ ต้องรีบทำการปฐมพยาบาลทันที โดยการช่วยเหลือฟื้นคืนชีพ หรือ CPR ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
ขอบคุณข้อมูลจาก *กระทรวงสาธารณสุข
*สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติสพฉ.1669

รู้ทัน “โรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน” ภัยเงียบที่ต้องระวังโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน (Acute Coronary Syndrome - ACS) เป็นภ...
08/05/2025

รู้ทัน “โรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน” ภัยเงียบที่ต้องระวัง
โรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน (Acute Coronary Syndrome - ACS) เป็นภาวะที่เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจอย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและออกซิเจน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่หัวใจวายและเสียชีวิตได้ในเวลาอันสั้น

สาเหตุของโรค
สาเหตุหลักคือการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือดจนเกิด คราบพลัค (plaque) ซึ่งเมื่อแตกออก จะกระตุ้นให้เกิดลิ่มเลือดไปอุดหลอดเลือดอย่างเฉียบพลัน สาเหตุอื่น ๆ ได้แก่:

• ความดันโลหิตสูง

• ไขมันในเลือดสูง

• เบาหวาน

• สูบบุหรี่

• ภาวะเครียด

• ขาดการออกกำลังกาย

อาการเตือนที่ควรระวัง

• เจ็บแน่นหน้าอกเหมือนมีของหนักทับ อาจร้าวไปที่แขน คอ หรือขากรรไกร

เหงื่อออกมากผิดปกติ

หายใจลำบาก หอบเหนื่อย

คลื่นไส้ อาเจียน

หน้ามืด เป็นลม

หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที อย่ารอให้หายเอง เพราะทุกวินาทีมีค่า

การวินิจฉัยและการรักษา
แพทย์จะทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) และตรวจเลือดเพื่อดูค่าบ่งชี้กล้ามเนื้อหัวใจ หากพบภาวะหลอดเลือดอุดตัน อาจต้องทำการ:

ฉีดละลายลิ่มเลือด

ขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน

ใส่ขดลวด (Stent)

การป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน
ควบคุมความดัน เบาหวาน และไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารมัน เค็ม หวาน

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาที/วัน สัปดาห์ละ 5 วัน

งดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์

ตรวจสุขภาพประจำปี

สรุป
โรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลันเป็นภัยเงียบที่อันตราย แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี หากพบอาการผิดปกติ อย่าชะล่าใจ ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อความปลอดภัยของชีวิต

" โรคหลอดเลือดสมอง หรืออัมพาต (Stroke) "คือ ภาวะที่หลอดเลือดสมองมีความผิดปกติ เกิดจากการอุดตัน หรือการแตกของผลอดเลือดสมอ...
08/05/2025

" โรคหลอดเลือดสมอง หรืออัมพาต (Stroke) "

คือ ภาวะที่หลอดเลือดสมองมีความผิดปกติ เกิดจากการอุดตัน หรือการแตกของผลอดเลือดสมอง ส่งผลให้เนื้อสมองสูญเสียน้าที่อย่างเฉียบพลัน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที่จะทําให้เซลล์สมอง ค่อยๆ ตายลง จนเกิดอาการของอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ

วันที่ 11 เดือนเมษายน พ.ศ.2568 นายแพทย์สมศักดิ์ ประฎิภาณวัตรผู้อำนวยการโรงพยาบาลสกลนครเป็นประธานเปิดศูนย์ปฏิบัติการและสา...
11/04/2025

วันที่ 11 เดือนเมษายน พ.ศ.2568 นายแพทย์สมศักดิ์ ประฎิภาณวัตร
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสกลนครเป็นประธานเปิดศูนย์ปฏิบัติการ
และสาธารณสุข(EOC) โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร เพื่อเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ความพร้อมด้านบริการการการแพทย์ฉุกเฉิน(EMS) ทุกระดับทุกหน่วยในช่วงเทศกาลสงกรานต์2568

หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร            ยินดีต้อนรับ นิสิต นักศึกษา สาขา นักฉุกเฉินการแพทย์ ชั้นปีที่...
12/02/2025

หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร
ยินดีต้อนรับ นิสิต นักศึกษา สาขา นักฉุกเฉินการแพทย์ ชั้นปีที่ 3 รุ่นที่ 2 / 1 จากคณะแพทยศาตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ - 28 กุมภาพันธ์ 2568
ขอให้น้องๆเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และความรู้ที่ดี เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้รับบริการ ได้ถูกต้องตามมาตรฐานของวิชาชีพ

กลับมาอีกครั้งสำหรับ PM 2.5 สามารถดูปริมาณความเข้มข้นในแอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือ หรือ ที่แยกบางแยกในจังหวัดสกลนครได้นะคร...
24/01/2025

กลับมาอีกครั้งสำหรับ PM 2.5 สามารถดูปริมาณความเข้มข้นในแอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือ หรือ ที่แยกบางแยกในจังหวัดสกลนครได้นะครับ ซึ่งตอนนี้ในตัวเทศบาลบางแยกมีจอมอนิเตอร์วัดค่าฝุ่นให้ดูแล้วนะครับ 😊

มลพิษทางอากาศนับเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมอันดับต้น ๆ ของประเทศมาแล้วกว่าศตวรรษ โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยเฉพาะผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ปอดและถุงลมปอด ซึ่งเป็นอวัยวะในการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระแสเลือด ซึ่งการรับสัมผัส PM2.5 ในระยะยาวอาจนำไปสู่สาเหตุการเกิดโรคทางระบบทางเดินหายใจอีกด้วย
ช่วงนี้ แอดมินเห็นค่า PM2.5 ในจังหวัดสกลนคร ของเรา พุ่งสูงมากและสามารถสัมผัสได้จนน่าตกใจ จึงขอนำความรู้เล็กๆน้อยๆมาฝากทุกท่าน

18/12/2024
เปิดรับสมัครผู้ที่สนใจเข้าร่วมฝึกอบรมEMR รุ่นที่ 5 รับสมัคร14ส.ค.67 เป็นต้นไป สอบถามเบอร์โทร0863629708
14/08/2024

เปิดรับสมัครผู้ที่สนใจเข้าร่วมฝึกอบรมEMR รุ่นที่ 5 รับสมัคร14ส.ค.67 เป็นต้นไป สอบถามเบอร์โทร0863629708

ที่อยู่

โรงพยาบาลสกลนคร
Sakhon Nakhon

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน จังหวัดสกลนครผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram