Journaling Our Journey: จิตวิทยาการปรึกษา

Journaling Our Journey: จิตวิทยาการปรึกษา ผมให้บริการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและนำเสนอบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับจิตวิทยาครับ

ผมนำเสนอเกร็ดความรู้จิตวิทยาในรูปแบบที่ "ย่อยง่าย" และเป็นประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิตประจำวันของทุกๆคนครับ

มีคนเคยบอกผมว่า ตั้งแต่เขาเลี้ยงน้องหมา ชีวิตเขาก็มีความสุขมากขึ้นคนที่ไม่ได้เลี้ยงสุนัข (หรือมีสัตว์เลี้ยง) อาจมองว่านี...
08/11/2025

มีคนเคยบอกผมว่า
ตั้งแต่เขาเลี้ยงน้องหมา
ชีวิตเขาก็มีความสุขมากขึ้น
คนที่ไม่ได้เลี้ยงสุนัข (หรือมีสัตว์เลี้ยง)
อาจมองว่านี่เป็นการ “คิดไปเอง”
อย่างไรก็ตาม การศึกษาล่าสุดพบว่า
การเลี้ยงสุนัขสามารถส่งผลทางบวกต่อสุขภาพจิตของเราได้
เพราะอะไรน่ะหรือ?
# 1
การเป็นเจ้าของสุนัขทำให้ชีวิตเรามี routine มากขึ้น
(เช่น มีเวลาให้อาหาร เวลาพาไปเดินเล่น)
ส่งผลให้เรารู้สึกว่าชีวิตแต่ละวันมีความมั่นคงแน่นอนมากขึ้นตามไปด้วย
# 2
เพียงแค่ได้มีเวลาเอามือลูบตัวน้องหมา
มันก็ช่วยให้ลมหายใจและหัวใจเราเต้นช้าลง
แถมยังทำให้ฮอร์โมนความเครียดลดลงอีกด้วย
# 3
ไม่ว่าเราจะหงุดหงิด ล้มเหลว หรืออะไรก็ตามแต่
น้องหมาจะยังคงนั่งอยู่ข้างๆเราด้วยความภักดีเสมอ
# 4
การเป็นเจ้าของสุนัขช่วยให้เรา connect กับคนอื่น
(ที่เลี้ยงน้องหมาเหมือนกัน) ได้ง่ายขึ้น
ส่งผลให้เรา make friends ได้ง่ายขึ้นตามไปด้วย
# 5
การเลี้ยงน้องหมาทำให้ชีวิตเรามีความหมายมากขึ้น
เพราะเราไม่ได้มีชีวิตเพื่อตัวเองอย่างเดียวอีกต่อไป
เรากำลังมีชีวิตเพื่อดูแลอีกหนึ่งชีวิตด้วย
แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ?
ประสบการณ์การเลี้ยงน้องหมาของคุณผู้อ่าน
สอดคล้องกับสิ่งที่ผมได้นำเสนอไว้ข้างต้น
มากน้อยแค่ไหนหรือครับ?
คุณผู้อ่านสามารถแชร์มาได้ที่ช่อง comment ด้านล่างได้เลยนะครับ!

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #สัตว์เลี้ยง #สุนัข

คุณกำลังอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนหรือเปล่าครับ?คุณใช้เวลาอยู่กับ “คนพิเศษ” คนนี้ราวกับว่าเขาเป็นแฟนของคุณมาเป็นปี ค...
07/11/2025

คุณกำลังอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนหรือเปล่าครับ?
คุณใช้เวลาอยู่กับ “คนพิเศษ” คนนี้
ราวกับว่าเขาเป็นแฟนของคุณมาเป็นปี
คุณไปกินข้าวด้วยกัน ไปดูหนังด้วยกัน มีเซ็กส์กัน
แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็ไม่สามารถเรียกเขา
ได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่านี่คือแฟนของคุณ
และที่สำคัญก็คือ
คุณไม่ได้ต้องการความสัมพันธ์
แบบ friends with benefits
คุณต้องการความสัมพันธ์แบบแฟน
แต่คุณกลับโอเคกับความสัมพันธ์ ณ ปัจจุบันที่ไม่ชัดเจนนี้
เพราะอะไร?
ต่อไปนี้คือ 2 เหตุผลที่พบได้บ่อยๆครับ
# 1
คุณอาจจะลงทุนเวลาและพลังงานชีวิตกับความสัมพันธ์นี้มาเยอะ
คุณเสียดายเวลาและพลังงานที่ได้ลงทุนไป
คุณเลยเลือกที่จะไม่หันหลังให้กับความสัมพันธ์นี้
# 2
แม้ความสัมพันธ์นี้จะไม่ได้เป็นอย่างที่คุณต้องการ
แต่มันก็มีช่วงเวลาดีๆในความสัมพันธ์มากพอ
ที่จะทำให้คุณตัดสินใจว่า “โอเค ฉันอยู่ต่อก็แล้วกัน”
แต่เหตุผลเหล่านี้มันคุ้มค่ากับหัวใจของคุณหรือเปล่า?
คุณมองว่าตัวคุณเองคู่ควรกับความสัมพันธ์แบบนี้จริงๆหรือ?
ถ้าคำตอบของคุณคือ “ไม่ใช่”
ผมก็อยากจะขอเชิญชวน
ให้คุณก้าวออกมาดีกว่าครับ
อ้างอิง
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/21339829/
https://psycnet.apa.org/doi/10.1037/0022-3514.45.1.101
https://psycnet.apa.org/doi/10.1016/0022-1031(80)90007-4

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ความสัมพันธ์ #ความรัก #แฟน

ความยากอย่างหนึ่งของการใช้ dating app คือการคัดกรองว่าคำอธิบาย profile ของแต่ละคนเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหนเพราะเวลาหลายค...
06/11/2025

ความยากอย่างหนึ่งของการใช้ dating app
คือการคัดกรองว่าคำอธิบาย profile
ของแต่ละคนเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน
เพราะเวลาหลายคนเขียน profile ตัวเอง
พวกเขาก็จะมีการโกหก
(หรือถ้าในกรณีที่น่าเกลียดน้อยหน่อย
พวกเขาก็จะมีการกล่าวอ้างเกินจริง)
ซึ่งมันเป็นการตัดสินใจที่เข้าใจได้นะครับ
เพราะเวลาที่เรานำเสนอตัวเองบน dating app
เราย่อมอยากดูดีให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆครับว่า
การทำเช่นนี้สร้างปัญหาให้กับ
ผู้ใช้ dating app จำนวนไม่น้อย
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาอ่าน profile ของคนๆหนึ่ง
พวกเขาก็จะเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า
“สิ่งที่ฉันกำลังอ่านนี้คือความจริงหรือคำโกหกบิดเบือนกันแน่?”
มันเป็นคำถามที่ชวนสับสนและตอบยากจริงๆครับ
แต่ในเบื้องต้น หาก profile ของคนๆหนึ่ง
มีลักษณะดังต่อไปนี้ มันอาจเป็นสัญญาณว่า
เจ้าของ profile กำลังโกหกหรือบิดเบือนความจริงอยู่ครับ
# 1
ใช้คำที่คลุมเครือในการอธิบายตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น
เจ้าของ profile บอกว่า
ตัวเองเป็นคนตัวค่อนข้างสูง
แต่ไม่ได้บอกว่าสูงกี่เซนติเมตร
เป็นต้น
# 2
ใช้คำที่ “ฟังแล้วใครๆก็ต้องชอบ” ใน profile
ยกตัวอย่างเช่น
อธิบายว่าตัวเองมี growth mindset
เป็นต้น
# 3
มีความย้อนแย้งปรากฎให้เห็น
ยกตัวอย่างเช่น
บอกว่าตัวเองชอบการ์ตูนญี่ปุ่นใน profile
แต่พอคุยเรื่องตัวละครหลักใน One Piece
เจ้าตัวกลับ “ไปไม่เป็น”
เป็นต้น
# 4
มีความพยายามในการ “ขายตัวเอง”
ด้วยการบอกว่าตัวเองดีอย่างนู้นอย่างนี้ซ้ำๆบ่อยๆ
ทั้ง 4 ข้อนี้อาจจะไม่ได้ทำให้เรา “จับโกหก”
ได้แม่นยำแบบ 100% ก็จริง แต่มันจะช่วยให้เรา
เข้าใจคนที่เรากำลังคุยด้วยมากขึ้นว่า
เขากำลังนำเสนอตัวตนแบบไหนให้เราเห็นใน dating app นี้ครับ
อ้างอิง
https://psycnet.apa.org/doi/10.1177/0146167208318067
https://doi.org/10.1111/j.1083-6101.2006.00020.x
https://psycnet.apa.org/doi/10.1093/joc/jqy019
https://doi.org/10.1108/INTR-03-2019-0095
https://psycnet.apa.org/doi/10.1177/0093650209356437

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา

คุณผู้อ่านคุ้นเคยกับความรักของ perfectionist ไหมครับ?มันคือความรักที่เต็มไปด้วยคำถามในใจเต็มไปหมดคำถามเช่น…“เขารู้สึกผิด...
05/11/2025

คุณผู้อ่านคุ้นเคยกับความรัก
ของ perfectionist ไหมครับ?
มันคือความรักที่เต็มไปด้วย
คำถามในใจเต็มไปหมด
คำถามเช่น…
“เขารู้สึกผิดหวังกับฉันไหมนะ?”
“สิ่งที่ฉันพูดไปเมื่อกี้มันดีหรือเปล่า?”
“ฉันทำแบบนี้มันโอเคใช่ไหม?”
มันคือความรักที่เจ้าตัวพยายาม
เป็นแฟนที่สมบูรณ์แบบและไร้ที่ติ
ในทุกๆคำพูดและการกระทำ
ชาว perfectionist เชื่อว่า
หากเขาทำทุกอย่างได้ “ถูกต้อง”
ความรักของเขาก็จะปลอดภัย
ปัญหาก็คือ ความเชื่อนี้จะทำให้
ชาว perfectionist รู้สึกเหงาอยู่ในใจครับ
เพราะยิ่งเขาพยายามที่จะ “เป๊ะ” มากเท่าไหร่
แฟนก็ยิ่งรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาน้อยลงเท่านั้น
อันที่จริง
มันอาจส่งผลให้ชาว perfectionist
เกิดอีกหนึ่งคำถามขึ้นมาในใจด้วยครับ
คำถามนั้นก็คือ…
“ตกลงแล้ว แฟนรักฉันจริงๆ
หรือรักตัวตนอันสมบูรณ์แบบ
ที่ฉันพยายามแสดงออกกันแน่?”
ฉะนั้น
หากชาว perfectionist ต้องการความรักที่แท้จริง
เขาก็ต้องมีความกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองกับแฟน
(แม้ตัวตนดังกล่าวจะเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง ความกลัว และความยุ่งเหยิงก็ตาม)
แน่นอนครับว่า ความกล้านั้นอาจไม่ได้
นำมาสู่ผลลัพธ์ที่สวยงามเหมือนตอนจบเทพนิยายเสมอไป
บางครั้ง
พอแฟนที่เรากำลังคบอยู่ ณ ปัจจุบัน
ได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเรา
แฟนก็อาจจะตัดสินใจเลิกกับเรา
ส่งผลให้เรารู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสได้
ประสบการณ์เช่นนี้อาจทำให้
ชาว perfectionist มองว่าตัวเองคิดผิด
(ที่เปิดเผยด้านที่ไม่ perfect ของตัวเองให้แฟนรับรู้)
แต่การอยู่ในความสัมพันธ์
ที่แฟนรู้จักเพียงแค่เสี้ยวเดียวของเรา
(แทนที่จะรู้จักทั้งหมดของเรา)
คือทางเลือกที่ดีกว่าจริงๆหรือ?
แน่ใจหรือว่าการอยู่ในความรัก
ที่ปฏิเสธตัวตนของเรา
มันเจ็บปวดน้อยกว่าการอยู่เป็นโสด?
หากชาว perfectionist สามารถ
ตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ใช่”
เขาก็คงเลือกที่จะเก็บซ่อนตัวตนที่ “ขี้เหร่” ของตัวเองต่อไป
แต่ถ้าชาว perfectionist ไม่สามารถ
ตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนว่า “ใช่”
มันอาจจะเป็นสัญญาณว่า
การกล้าที่จะเปิดเผยตัวตนของตัวเองทั้งหมด
คือทางเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่า…ก็เป็นได้ครับ
อ้างอิง
https://doi.org/10.1177/1066480704267279
https://doi.org/10.1007/s12144-001-1013-4
https://doi.org/10.1016/j.paid.2012.04.002
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/37159636/

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ความรัก #ความสัมพันธ์

เพื่อนที่ดีคือเพื่อนที่ทั้ง give และ take (ไม่ใช่ take อย่างเดียว)ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะเห็นด้วยกับประโยคข้างต้นแต่เราจะรู้...
04/11/2025

เพื่อนที่ดีคือเพื่อนที่ทั้ง give และ take
(ไม่ใช่ take อย่างเดียว)
ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะเห็นด้วยกับประโยคข้างต้น
แต่เราจะรู้ (ในทางปฏิบัติ) ได้ยังไงว่า
เพื่อนเราไม่ได้ take อย่างเดียว?
ต่อไปนี้คือตัวอย่างของการ take
อย่างเดียวที่พบเจอได้บ่อยๆครับ
(ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายคนคงจะ
คุ้นเคยกับตัวอย่างต่อไปนี้อยู่เหมือนกันครับ)
# 1
เพื่อนเป็นฝ่ายติดต่อมาหาเรา
ก็ต่อเมื่อเพื่อนต้องการความช่วยเหลือ
(เช่น ยืมเงิน ขอคำปรึกษา) จากเราเท่านั้น
ถ้าเพื่อนไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือ
ก็จะมีแต่เราที่เป็นฝ่ายติดต่อไปก่อนเสมอ
# 2
เวลาที่เพื่อนคุยกับเรา บทสนทนาที่เกิดขึ้น
จะกลายเป็นเวทีให้เพื่อนระบายอารมณ์ประจำ
แต่เมื่อไหร่ที่เราอยากแชร์ความรู้สึกของเราบ้าง
เพื่อนก็ดูไม่พร้อมที่จะรับฟังแม้แต่ครั้งเดียว
# 3
ไม่ว่าเรากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่
เพื่อนก็จะดึงบทสนทนาให้กลับมาที่
ประสบการณ์หรือความรู้สึกของตัวเพื่อนเสมอ
หากเราพบว่าเพื่อนเราเป็นแบบนี้
และถ้าเราเคยคุยกับเพื่อนแล้วว่าเราไม่โอเคกับจุดนี้
แต่เพื่อนก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงล่ะก็
นี่อาจเป็นสัญญาณให้เราทิ้งระยะห่างกับเพื่อนคนนี้มากขึ้น…ก็เป็นได้ครับ
อ้างอิง
https://doi.org/10.4992/jjpsy.67.33
https://doi.org/10.1080/00224549709595483
https://doi.org/10.1111/jora.12501

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ความสัมพันธ์

ตอนที่ผมยังเป็นนักเรียน ผมเคยอ่านหนังสืออยู่หน้าหนึ่งผมอ่านหน้านั้นซ้ำๆติดกัน 3-4 รอบ แต่เนื้อหาของหน้านั้นกลับไม่เข้าหั...
03/11/2025

ตอนที่ผมยังเป็นนักเรียน
ผมเคยอ่านหนังสืออยู่หน้าหนึ่ง
ผมอ่านหน้านั้นซ้ำๆติดกัน 3-4 รอบ
แต่เนื้อหาของหน้านั้นกลับไม่เข้าหัวผมเลยแม้แต่นิดเดียว!
ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น?
สาเหตุข้อหนึ่งก็คือ
วิธีการเรียนรู้ของผมในตอนนั้น
มันเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ไม่เอื้อ
ต่อการทำงานของสมองเท่าไหร่นัก
ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้
ต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมจะทำครับ
# 1
ผมจะขยับร่างกายเล็กๆน้อยๆก่อนอ่านหนังสือ
(เช่น เดินเล่นสักนิด ยืดเหยียดแขนขาสักหน่อย)
# 2
ผมจะไม่อ่านหนังสือครั้งละ 2-3 ชั่วโมง
ผมจะอ่านหนังสือ 20-30 นาที พักสัก 5-10 นาที
และกลับมาอ่านหนังสือต่ออีก 20-30 นาทีแทน
# 3
ผมจะเก็บเนื้อหาที่สำคัญที่สุดมาอ่านทวนก่อนเข้านอน
# 4
ผมจะไม่เพียงแค่หยิบหนังสือมาอ่านในใจอย่างเดียว
แต่ผมจะทั้งอ่านในใจ ทั้งอ่านออกเสียง ทั้งเขียน ทั้งวาดผสมกันไป
# 5
ผมจะไม่อ่านหนังสือแต่ละบทซ้ำๆกันหลายรอบ
แต่ทุกครั้งที่ผมอ่านหนังสือจบแต่ละบท
ผมจะเขียนสรุปเนื้อหาสำคัญของบทนั้น
พักผ่อนสักระยะหนึ่ง และทดสอบตัวเองว่า
จดจำและเข้าใจเนื้อหาในบทนั้นมากแค่ไหน
ถ้าผลการทดสอบออกมาดี ผมก็จะขยับไปที่บทต่อไป
แต่ถ้าผลการทดสอบยังออกมาไม่ดี ผมก็จะอ่านบทนั้นซ้ำ
ตามด้วยการเขียนสรุปเนื้อหาสำคัญของบทนั้น
พักผ่อนสักระยะ และทดสอบตัวเองอีกรอบ
ทั้งหมดนี้จะช่วยให้สมองของผมเรียนรู้ได้ง่ายขึ้นเยอะครับ
อ้างอิง
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/25206041/
https://doi.org/10.1111/j.1467-9280.2006.01693.x
https://psycnet.apa.org/doi/10.1017/CBO9781139164603

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #เรียน #อ่านหนังสือ

หลายคนรู้สึกผิดเวลาที่พวกเขาพักผ่อนเพราะพวกเขามองว่า เวลาที่พวกเขาใช้พักผ่อนนั้น ควรถูกนำเอาไปใช้ทำอย่างอื่นที่ “เป็นประ...
02/11/2025

หลายคนรู้สึกผิดเวลาที่พวกเขาพักผ่อน
เพราะพวกเขามองว่า
เวลาที่พวกเขาใช้พักผ่อนนั้น
ควรถูกนำเอาไปใช้ทำอย่างอื่น
ที่ “เป็นประโยชน์” มากกว่า
พวกเขาจะยิ่งรู้สึกผิดเป็นพิเศษ
หากพวกเขาเป็นคนที่แคร์คนอื่นเป็นอย่างมาก
เพราะพวกเขาจะมองว่าช่วงเวลาพักผ่อนนั้น
มันคือช่วงเวลาที่พวกเขาเอาไปช่วยเหลือคนอื่นได้
มันทำให้การพักผ่อนของพวกเขา
ดูเป็นการกระทำที่ “เห็นแก่ตัว” ขึ้นมาทันที
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
แม้กระทั่งรถยนต์ก็ยังต้องมีเวลา
แวะเติมน้ำมัน แวะเข้าศูนย์เป็นระยะๆ
การตัดสินใจเอารถยนต์ไปแวะเข้า
ศูนย์หรือปั้มน้ำมันไม่ใช่สิ่งที่ “เห็นแก่ตัว”
แต่มันเป็นสิ่งที่ “จำเป็น” ต่อการที่รถยนต์
จะทำหน้าที่พาผู้คนและสิ่งของไปส่ง
ตามที่ต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การพักผ่อนของคนเราก็เช่นเดียวครับ
มันไม่ใช่การตัดสินใจที่ “เห็นแก่ตัว”
แต่มันคือสิ่งที่เรา “จำเป็น” ต้องทำ
หากเราต้องการให้ตัวเองช่วยเหลือคนอื่นได้ยาวๆครับ
อ้างอิง
https://www.researchgate.net/publication/245720535_Compassion_fatigue_as_secondary_traumatic_stress_disorder_An_overview
https://psycnet.apa.org/record/1997-36453-000
https://psycnet.apa.org/record/1998-06505-001

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #พักผ่อน #เห็นแก่ตัว

คุณเคยหยิบบทสนทนาที่คุณคุยกับใครสักคนมาก่อนหน้านี้มา replay ในหัวซ้ำไปซ้ำมาไหมครับ?คุณรู้แหละครับว่าไม่ว่าคุณ replay บทส...
01/11/2025

คุณเคยหยิบบทสนทนา
ที่คุณคุยกับใครสักคนมาก่อนหน้านี้
มา replay ในหัวซ้ำไปซ้ำมาไหมครับ?
คุณรู้แหละครับว่า
ไม่ว่าคุณ replay บทสนทนานั้นกี่รอบ
คุณก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปพูดคุยกับคนๆนั้นได้
คุณรู้แหละครับว่า
การที่คุณกำลัง replay บทสนทนาเช่นนี้
มันกำลัง “กิน” พลังงานชีวิตของคุณ
และทำให้คุณนอนไม่หลับตอนกลางคืน
…แต่คุณอดไม่ได้ที่จะทำมันอยู่ดี!
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณ
เข้าไปใน loop ของการ “คิดมาก”
มันก็เหมือนกับมีเชือกมามัดความคิดของคุณไว้
ทำให้คุณไม่สามารถ “ปล่อยวาง”
หรือหยุด “คิดมาก” ได้เลย
วันนี้ ผมมีแนวทางในเบื้องต้น
ที่อาจจะช่วยให้คุณ “คลายเชือก”
ที่มัดความคิดของคุณไว้ได้ครับ
# 1
ทันทีที่คุณเห็นว่าตัวเองกำลังติดอยู่ใน loop
ขอให้คุณพูดกับตัวเองชัดๆว่า
“ฉันสังเกตเห็นว่า ตอนนี้ ฉันกำลังอยู่ใน loop”
# 2
อย่าปล่อยให้ความคิดอยู่ในหัวเพียงอย่างเดียว
คุณสามารถหยิบมันมาเขียนลงบนกระดาษได้
# 3
ตั้งคำถามกับตัวเองว่า
“มีอะไรในสถานการณ์นี้
ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของฉันบ้าง?”
# 4
ถ้าเราหยุด “คิดมาก” ไม่ได้จริงๆ
อย่างน้อยที่สุด สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้
คือการจำกัดเวลา “คิดมาก” ครับ
(เช่น ในช่วง 15 นาทีต่อจากนี้
ฉันจะอนุญาตให้ตัวเอง “คิดมาก” ให้เต็มที่
แต่หลังจากที่ครบ 15 นาที
ฉันก็จะลุกขึ้นไปทำอย่างอื่นแล้ว)
# 5
ดึงตัวเองกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ
ด้วยการตั้งคำถามกับตัวเองว่า
“ตอนนี้ ฉันกำลังมองเห็นอะไรอยู่?”
(ตอบให้ได้ 5 อย่าง)
“ตอนนี้ ฉันกำลังสัมผัสอะไรอยู่?”
(ตอบให้ได้ 4 อย่าง)
“ตอนนี้ ฉันกำลังได้ยินอะไรอยู่?”
(ตอบให้ได้ 3 อย่าง)
“ตอนนี้ ฉันกำลังได้กลิ่นอะไรอยู่?”
(ตอบให้ได้ 2 อย่าง)
“ตอนนี้ ฉันกำลังรับรู้รสอะไรอยู่?”
(ตอบให้ได้ 1 อย่าง)
# 6
ตั้งคำถามกับตัวเองว่า
“อะไรคือสิ่งเล็กๆที่ฉันสามารถทำได้ ณ วินาทีนี้?”
และลงมือทำสิ่งๆนั้น
ผมหวังว่าแนวทางทั้ง 6 ที่ผมได้นำเสนอนี้
จะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนที่ต้องการ
“คลายเชือก” ทางความคิดนะครับ!
อ้างอิง
https://doi.org/10.1111/j.1745-6924.2008.00088.x
https://doi.org/10.1037/0021-843x.110.2.333
https://doi.org/10.1017/s1352465818000103
https://doi.org/10.1016/j.bpsgos.2023.08.012
https://doi.org/10.3389/fpsyg.2024.1447207

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ความคิด

พวกเราคงจะคุ้นเคยกับเรื่องราวของหลายคนที่ตัดสินใจ drop out จากมหาวิทยาลัยเพื่อมาทำธุรกิจของตัวเองไม่ว่าจะเป็น Bill Gates...
31/10/2025

พวกเราคงจะคุ้นเคยกับ
เรื่องราวของหลายคน
ที่ตัดสินใจ drop out
จากมหาวิทยาลัย
เพื่อมาทำธุรกิจของตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็น Bill Gates (Microsoft)
Steve Jobs (Apple)
หรือ Mark Zuckerberg (Facebook)
คำถามคือ…นี่เป็นการตัดสินใจที่ดีหรือไม่?
หลายคนจะตอบอย่างไม่ลังเลเลยครับว่า “ดี”
เพราะธุรกิจของบุคคลในข้างต้น
คือธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงระดับโลก
แต่ถ้าธุรกิจของพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จล่ะ?
หลายคนก็จะตอบทันทีว่า ในกรณีแบบนี้
การตัดสินใจ drop out นั้นคือการตัดสินใจที่ไม่ดี
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ หลายคนใช้ “ผลลัพธ์”
เป็นตัวประเมินคุณภาพของการตัดสินใจ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว
การตัดสินใจที่ดีไม่ได้นำมาสู่
“ผลลัพธ์” ที่ดีเสมอไป
และเช่นเดียวกัน การตัดสินใจที่แย่
ก็ไม่ได้นำมาสู่ “ผลลัพธ์” ที่แย่เสมอไปด้วย
เราลองนึกถึงเรื่องราวของคนที่ลาออกจากงาน
เอาเงินก้อนทั้งหมดที่มีไปซื้อหวย และเกิดถูกหวยก็ได้ครับ
ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคน
น่าจะเห็นตรงกันว่า
นี่คือการตัดสินใจที่แย่มากๆ
แต่การตัดสินใจที่แย่นี้กลับทำให้
เจ้าตัวกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านไปเรียบร้อย!
หรืออีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ
การที่เราตัดสินใจที่จะคบกับแฟนเก่าของเรา
สุดท้ายแล้ว
แม้แฟนเก่ากับเราจะไม่สามารถไปด้วยกันได้
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า
เราตัดสินใจผิดที่คบกับแฟนเก่าของเราเสมอไป
ผมมองว่า หากเราตัดสินใจ
ด้วยข้อมูลทั้งหมดที่เรามี ณ เวลานั้น
และเราได้พิจารณาไตร่ตรองดีแล้ว
(ไม่ได้ตัดสินใจแบบหุนหันผันแล่น)
ต่อให้ “ผลลัพธ์” จะออกมาดีหรือไม่ดี
ผมก็นับว่านั่นคือการตัดสินใจที่ดีแล้วแหละครับ
อ้างอิง
https://doi.org/10.1007/s11238-020-09773-1
https://doi.org/10.1177/0956797619828724
https://doi.org/10.1037//0022-3514.54.4.569

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ตัดสินใจ

เคยไหมครับ?เราพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นแต่เสียงในหัวกลับคอยบอกว่า…“ฉันเปลี่ยนไม่ได้หรอก”“มันยากเกินไป มันสายเกินไ...
30/10/2025

เคยไหมครับ?
เราพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น
แต่เสียงในหัวกลับคอยบอกว่า…
“ฉันเปลี่ยนไม่ได้หรอก”
“มันยากเกินไป มันสายเกินไป”
“พยายามไปเดี๋ยวก็ล้มเหลวอีกอยู่ดี”
ฯลฯ
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เสียงเหล่านี้มีพลังก็คือ
มันมีความจริงที่แอบซ่อนอยู่ในนั้น
แต่มันเป็นความจริงที่ถูกหยิบมาบิดเบือน
ยกตัวอย่างเช่น
เวลาที่เสียงในหัวเราบอกว่า
“พยายามไปเดี๋ยวก็ล้มเหลวอีกอยู่ดี”
ความจริงที่แอบซ่อนอยู่ก็คือ
ในอดีตที่ผ่านมา เราได้เคย
พยายามและล้มเหลวมาแล้ว
เสียงในหัวเราหยิบเอาความจริงข้อนี้
มาบิดเบือนจนกลายเป็นคำตัดสินที่ฟังดูเด็ดขาดว่า…
เนื่องจากเราเคยพยายาม
และล้มเหลวมาก่อนในอดีต
การพยายามครั้งต่อไป
ก็จะต้องจบลงด้วยความล้มเหลวแน่นอน
เป็นต้น
ฉะนั้น กุญแจสำคัญในการรับมือ
กับเสียงในหัวเหล่านี้คือการไม่ปล่อย
ให้ตัวเอง “ไหลตามน้ำ” ไปกับความจริงที่บิดเบือน
เราจะต้อง “ยืนหยัด” ให้มั่นคง
ว่าความจริง (จริงๆ) คืออะไรกันแน่
และอาศัยความจริง (ที่ไม่บิดเบือน)
มาใช้รับมือกับเสียงในหัวเหล่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น
เวลาที่เสียงในหัวบอกเราว่า
“พยายามไปเดี๋ยวก็ล้มเหลวอีกอยู่ดี”
สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้
คือการต่อสู้กับเสียงดังกล่าวว่า
“ใช่ ที่ผ่านมา ฉันเคยพยายามและก็ล้มเหลวมาแล้วหลายรอบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความพยายามครั้งนี้จะล้มเหลวเหมือนเก่า มันอาจจะสำเร็จก็ได้ หรือถ้ามันจะล้มเหลวอีก อย่างน้อย ฉันก็ได้ก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว แทนที่จะยืนอยู่ที่เดิมและยกธงขาวยอมแพ้ตั้งแต่แรก”
เป็นต้น
ผมหวังว่าสิ่งที่ผมได้หยิบมานำเสนอในวันนี้
จะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนที่กำลังเผชิญหน้า
กับเสียงในหัวที่ขัดขวางไม่ให้ตัวเองกลายเป็นคนที่ดีขึ้นนะครับ
อ้างอิง
https://doi.org/10.1111/jopy.12005
https://psycnet.apa.org/record/1999-02577-000

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ความคิด

เวลาที่เราพูดถึง self-care หลายคนจะนึกถึงการปรนเปรอตัวเองในรูปแบบต่างๆยกตัวอย่างเช่นการดูซีรี่ย์แบบมาราธอนข้ามคืนการทานข...
29/10/2025

เวลาที่เราพูดถึง self-care
หลายคนจะนึกถึงการปรนเปรอตัวเองในรูปแบบต่างๆ
ยกตัวอย่างเช่น
การดูซีรี่ย์แบบมาราธอนข้ามคืน
การทานขนมตามใจปากแบบจัดเต็ม
เป็นต้น
ผมมองว่าการปรนเปรอตัวเองเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ “ผิด” นะครับ
แต่ถ้าเราปรนเปรอตัวเองแบบนี้บ่อยๆ
เราจะไม่สามารถเรียกสิ่งนี้ว่า self-care ได้
เพราะเมื่อเราพูดถึง self
มันไม่ใช่แค่ตัวเราในวันนี้
แต่ยังรวมถึงตัวเราในวันพรุ่งนี้ด้วย
ฉะนั้น เวลาที่เราปรนเปรอตัวเองถี่ๆ
นั่นคือการที่เรากำลังตอบโจทย์ self ในปัจจุบัน
โดยที่เรากำลังละเลย self ในอนาคต
มันไม่ต่างอะไรกับการให้รางวัลตัวเองในวันนี้
พร้อมๆกับส่งบิลเก็บเงินตัวเราในวันหน้า
self-care ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้
ก็ต่อเมื่อเราได้คำนึงถึงความรู้สึกและ
ความต้องการของ self ทั้ง 2 ช่วงเวลาเท่านั้น
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ
การปรนเปรอตัวเองนั้น
ยังถือว่าเป็น self-care อยู่…
…หากมันมันยังไม่ทำให้ตัวเราในอนาคตต้องลำบากอย่างแรงนะครับ!
อ้างอิง
https://doi.org/10.1016/j.jebo.2019.08.016
https://doi.org/10.1016/j.ijnss.2021.08.007
https://doi.org/10.1093/scan/nsq081
https://doi.org/10.1177/1745691617690880

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #ดูแลตัวเอง #ปรนเปรอตัวเอง

เราจะรู้ได้ยังไงว่าเรารักใครสักคนจริงๆ?การที่เรารู้สึกใจเต้นแรงเวลามองตาเขามันสะท้อนว่าเรารักเขาจริงๆใช่ไหม?หรือการที่เร...
28/10/2025

เราจะรู้ได้ยังไงว่าเรารักใครสักคนจริงๆ?
การที่เรารู้สึกใจเต้นแรงเวลามองตาเขา
มันสะท้อนว่าเรารักเขาจริงๆใช่ไหม?
หรือการที่เราบอกรักเขาทุกคืนก่อนนอน
คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเรารักเขาจริงๆ?
สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามก็คือ
ท่าทีของเราที่มีต่อแฟนในช่วงเวลาที่เรา
กำลังเหนื่อย เครียด หรือหงุดหงิดครับ
เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว
มันง่ายมากที่เราจะ…
…ชี้นิ้วกล่าวโทษแฟน
…ไม่คุยกับแฟน
…หรือแม้กระทั่งไม่อยากอยู่ในห้องเดียวกันกับแฟน
อย่างไรก็ตาม ถ้าเรากำลังเหนื่อย เครียด หงุดหงิด…
…และเรายังคงเปิดใจฟังสิ่งที่แฟนพูด
…และเรายังคงรับผิดชอบในส่วนของเรา
(กรณีที่เกิดความขัดแย้งกับแฟน)
…และเรายังคงมีการแสดงออกเล็กๆน้อยๆ
ให้แฟนมั่นใจว่าเรายังให้ความสำคัญกับเขาอยู่
(เช่น จับมือ กอด ส่งข้อความ)
ผมมองว่าสิ่งนี้คือ “ตัวชี้วัด” ชั้นดี
ว่าเรารักคนๆนี้อย่างชัดเจนครับ
อ้างอิง
https://doi.org/10.1007/s12110-024-09482-6
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/21339829/

#จิตวิทยา #สุขภาพจิต #ปรึกษานักจิตวิทยา #นักจิตวิทยาการปรึกษา #นักจิตวิทยา #แฟน #ความรัก #ความสัมพันธ์

ที่อยู่

Samut Prakan

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Journaling Our Journey: จิตวิทยาการปรึกษาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง Journaling Our Journey: จิตวิทยาการปรึกษา:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram

About Journaling My Journey

My Interests: จิตวิทยา, ปรัชญา, การลงทุน และอื่นๆที่ผมอาจจะเห่อเป็นพักๆ

-

My Educational Background

ปริญญาตรี: เศรษฐศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย