ฝังเข็ม ยาจีน สิงห์บุรี De Orange TCM เดอ ออเรนจ์ ทีซีเอ็ม

ฝังเข็ม ยาจีน สิงห์บุรี De Orange TCM เดอ ออเรนจ์ ทีซีเอ็ม แพทย์แผนจีน ฝังเข็ม ครอบแก้ว ยาจีน กัวซา

13/09/2025

EP77 **ซึมเศร้ากับแพทย์แผนจีน😖

🥹เคยไหม อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเศร้าแบบไม่มีเหตุผล บางทีเวลาเครียดมาก ๆ ก็แน่นหน้าอกจนพูดไม่ออก ไม่รู้เหมือนกันว่าเครียดเรื่องอะไร ร้องไห้ออกมาเฉย ๆ ทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องเสียใจอะไรชัดเจน ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นกันนะ

ถ้ามองในมุมแพทย์แผนจีน เราจะอธิบายว่า ❤️หัวใจเป็นที่อยู่ของจิตใจ เวลาที่เราคิดมากหรือเครียดมาก ๆ จะไปกระทบตับและม้าม พอตับและม้ามเริ่มเสียสมดุล พลังลมปราณมันก็จะติดขัด เหมือนรถติดไฟแดงนาน ๆ แล้วพอไหลไม่ได้ก็ไปรบกวนหัวใจ
ทำให้เรารู้สึกแน่นหน้าอก จุกอก เหมือนมีอะไรกลั้นอยู่ในใจ พอหัวใจเสียสมดุลนาน ๆ ก็อาจไปกระทบปอด ซึ่งเป็นอวัยวะที่เกี่ยวกับความเศร้า ทำให้เราร้องไห้ออกมาแบบไม่มีเหตุผล🫂

🧐พอเห็นภาพเป็นแบบนี้แล้ว หลายคนก็คงคิดว่า งั้นก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุสิ แต่ถ้าต้นเหตุไม่ชัดเพราะปล่อยไว้นานจนไม่รู้แล้วว่าอะไรเริ่มก่อน เราก็ต้องหาวิธี “เปิดทาง” ให้พลังกลับมาไหลเวียนก่อน วิธีของแพทย์แผนจีนคือใช้การฝังเข็ม กระตุ้นให้ลมปราณกลับมาเดินได้คล่องขึ้น แล้วเสริมด้วยยาสมุนไพรที่ช่วยบำรุงตับ ม้าม และหัวใจ พอพลังกลับมาเดินได้ปกติ ตับกับม้ามก็ไม่ไปรบกวนหัวใจ หัวใจก็ไม่ไปกวนปอด อาการแน่นหน้าอกและความเศร้าก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเอง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจิตบำบัดไม่สำคัญนะ
🫶จริง ๆ แล้วการได้พูดคุยกับใครสักคนหรือมีผู้เชี่ยวชาญคอยชี้แนะ ก็ช่วยให้เรามองเห็นปัญหาที่เรามองไม่ออก ทำให้ความคิดเป็นระบบขึ้น ปมที่เคยรู้สึกยุ่งเหยิงก็คลายลง ร่างกายก็ไม่ต้องสะสมความเครียดจนทำให้ป่วย

🥲บางคนอาจจะเริ่มสงสัยว่าที่เขียนมาทั้งหมดนี้มีหลักฐานว่าเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน จริง ๆ แล้วแผนจีนก็มีงานวิจัยมากมายสนับสนุน ซึ่งวันนี้ขอยกงานวิจัยของ Amour et al. (2019) ที่ทำการทบทวนแบบ meta-analysis พบว่า การฝังเข็มช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ดีกว่าการไม่รักษา และ เมื่อใช้ร่วมกับยาต้านซึมเศร้าก็ได้ผลดีกว่าใช้ยาอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม งานวิจัยส่วนใหญ่ทำในจีน และยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อดูว่าผลการรักษาจะอยู่ได้นานแค่ไหน
สรุปคือ ทั้งร่างกายและจิตใจมันเชื่อมโยงกันหมด ถ้าเราดูแลแค่ด้านใดด้านหนึ่งอาจยังไม่พอ การรักษาแบบแพทย์แผนจีนเลยเน้นดูแลทั้งสองด้านไปพร้อมกัน เพื่อให้เรากลับมาสมดุลทั้งกายและใจ

อ้างอิงจาก https://www.mdpi.com/2077-0383/8/8/1140

#ซึมเศร้า
#หมอแมนแพทย์จีน

24/08/2025
22/08/2025

EP70**มะเร็ง คีโม+ยาจีน/ฝังเข็ม ได้เหรอ?🤔🤔

สวัสดีครับวันนี้หมอแมนจะมาชวนคุยการรักษามะเร็งในระยะลุกลามด้วยวิธีแบบผสมผสานแพทย์สมัยใหม่และแพทย์จีนกันครับ

📍ปัจจุบันการรักษามะเร็งระยะลุกลามแบบผสมผสานในมุมมองแพทย์แผนจีนในปัจจุบันมะเร็งยังคงเป็นปัญหาท้าทายของวงการแพทย์ครับ เพราะการรักษาวิธีเดียวไม่อาจควบคุมโรคหรือป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำและแพร่กระจายของมะเร็งได้อย่างเบ็ดเสร็จ
👀ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นจึงหันมาสนใจแนวทางการรักษาแบบผสมผสานระหว่างการแพทย์ตะวันตกและการแพทย์แผนจีน เพื่อให้ได้แผนการรักษาที่ครอบคลุมและเฉพาะบุคคลยิ่งขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของผู้ป่วย
🙏หมอหวังว่าในบทความนี้จะทำให้ผู้ป่วยมะเร็งและญาติจะมีความเข้าใจที่มากขึ้นในการเลือกการรักษาแบบแพทย์ร่วมกับการรักษาหลักในวิธีแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะสร้างโอกาสรอด เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามะเร็ง ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีตลอดกระบวนการรักษาครับ

มาดูมุมมองในแพทย์จีนกัน

แนวคิดพื้นฐานของการผสานการรักษา
☯️แพทย์แผนจีนกับแผนปัจจุบันแพทย์แผนจีนมีแนวคิดการรักษาโรคมะเร็งที่แตกต่างแต่เกื้อหนุนกับการแพทย์กระแสหลัก
🔬ส่วนแพทย์ตะวันตก มุ่งกำจัดหรือทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง (เช่น ผ่าตัด ฉายแสง เคมีบำบัด หรือยาเป้าหมาย) ซึ่งให้ผลรวดเร็วและตรงจุด แต่ก็มักก่อผลข้างเคียงรุนแรงต่อร่างกาย เช่น กดไขกระดูก ระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร หรืออวัยวะสำคัญอื่นๆ อีกทั้งยังมีปัญหาการดื้อยาหากใช้เป็นเวลานาน

👉จุดเด่นแพทย์แผนจีน นั้นยึดหลักองค์รวม (holistic) และการปรับสมดุลเฉพาะบุคคล (辨证论治 หรือจำแนกตามกลุ่มอาการแล้วรักษา) เชื่อว่ามะเร็งเกิดจากความไม่สมดุลของร่างกาย (หยิน-หยางเสียสมดุล พลังชีวิตหรือชี่พร่อง และเลือดลมติดขัด) จึงเน้นการฟื้นฟูความสมดุลและเสริมภูมิต้านทานของผู้ป่วยควบคู่ไปกับการกำจัดโรค
🎓วิธีคิดนี้ทำให้การรักษาด้วยแพทย์แผนจีนไม่ได้มุ่งที่ก้อนมะเร็งอย่างเดียว แต่คำนึงถึง สภาพร่างกายของผู้ป่วย ว่าพร้อมรับการรักษาที่รุนแรงหรือไม่ และหาวิธีช่วยให้ร่างกายผู้ป่วยแข็งแรงพอจะต่อสู้โรคและทนต่อการรักษา

☯️หลักการสำคัญแพทย์จีนคือ “เสริมสร้างธาตุพื้นฐานและภูมิคุ้มกัน (扶正) ควบคู่กับการกำจัดโรคภัย (祛邪)” กล่าวคือใช้การแพทย์แผนจีนเพื่อเสริมพลังชีวิต บำรุงอวัยวะที่อ่อนแอ เพิ่มภูมิต้านทาน (扶正หรือการเสริมชี่ บำรุงเลือด ปรับหยินหยาง) 🌐ในขณะที่การแพทย์ตะวันตกจะมุ่งโจมตีทำลายเซลล์มะเร็ง (祛邪หรือกำจัดสิ่งเสีย)
🎉ทั้งสองด้านนี้เมื่อทำควบคู่กันจะช่วยให้การรักษาเกิด ฤทธิ์เสริมกัน (synergy) ผู้ป่วยได้รับประโยชน์สองทาง คือ ประสิทธิภาพการฆ่าเซลล์มะเร็งเพิ่มขึ้น และ พิษภัยต่อร่างกายลดลง แนวทางนี้มักเรียกว่า “增效减毒” (เจิ้งเสี้ยว เจี้ยนตู๋) แปลว่า เพิ่มประสิทธิผล ลดพิษภัยครับ

✍🏻ในทางปฏิบัติ แพทย์แผนจีนจะเลือกสรรสมุนไพรหรือสูตรยาที่เหมาะกับสภาวะของผู้ป่วยแต่ละราย เช่น สมุนไพรที่มีฤทธิ์บำรุงเลือดลม เสริมชี่ ปรับหยิน-หยาง เพื่อช่วยลดผลข้างเคียงของเคมีบำบัดซึ่งเปรียบเสมือน “การใช้พิษต่อพิษ” ทำให้เกิดภาวะพร่องพลังและเลือดลมในร่างกาย
โดยสมุนไพรจีนหลายชนิดมีสรรพคุณต้านมะเร็งทางอ้อม เช่น กระตุ้นภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการทำลายเซลล์ผิดปกติ ยับยั้งการสร้างหลอดเลือดเลี้ยงเนื้องอก และต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรบางชนิดที่มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งโดยตรงจากสารออกฤทธิ์ธรรมชาติ (เช่น สารคูร์คูมิน จากขมิ้นชัน สารเรสเวอราทรอล จากองุ่น เป็นต้น) ซึ่งงานวิจัยปัจจุบันเริ่มมีการศึกษากลไกเหล่านี้อย่างกว้างขวางมากขึ้นครับ

🍃การฝังเข็ม เป็นอีกส่วนหนึ่งของแพทย์แผนจีนที่มีบทบาทในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งแบบผสมผสาน แนวคิดของการฝังเข็มคือการปรับการไหลเวียนของชี่และเลือด ผ่านจุดต่าง ๆ บนร่างกาย เพื่อแก้ไขสมดุลหยิน-หยางและบรรเทาอาการ ผลการศึกษาพบว่าการฝังเข็มสามารถกระตุ้นระบบประสาทและภูมิคุ้มกัน ช่วยหลั่งสารสื่อประสาทเช่น เอนดอร์ฟิน และ โดพามีน ซึ่งมีฤทธิ์ระงับปวดและลดความเครียด ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น
แพทย์จีนมองว่าฝังเข็มช่วย "ปรับเปิดทางเดินลมปราณและกระตุ้นการไหลเวียนของพลังและเลือด" ซึ่งสามารถ ยกระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายต่อสู้มะเร็งได้มีประสิทธิภาพขึ้น งานทดลองหนึ่งพบว่าการฝังเข็มสามารถกระตุ้นการสะสมของเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิด B lymphocyte ที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และการทำครอบแก้วก็เพิ่มระดับ immunoglobulin ในร่างกายได้เช่นกันครับ

✅โดยสรุป แนวคิดพื้นฐานของการแพทย์แผนจีนในการรักษามะเร็งคือการรักษาคนควบคู่ไปกับรักษาโรค กล่าวคือ ดูแลทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยให้แข็งแรงสมดุล เพื่อให้การรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการของแพทย์แผนปัจจุบันได้ผลดีที่สุด ลดการทำลายต่ออวัยวะปกติ และ ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีควบคู่ไปกับการยืดอายุ

เราลองมาดูวิจัยในต่างประเทศกัน🔬🌐

👉การรักษาแบบผสมผสานนี้หมายถึงอะไร หมอแมนขอจำกัดความอยู่ที่.. การรักษามะเร็งโดยการใช้เคมีบำบัดร่วมกับยาสมุนไพรจีนและการฝังเข็ม ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเสริมประสิทธิผลการรักษา ลดผลข้างเคียง และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

🔬ความน่าเชื่อถือในแนวคิดการรักษาแบบผสมผสาน จากงานวิจัยทางคลินิกจำนวนมากจากประเทศจีนและแหล่งอื่น ๆ ระบุว่าการผสานการรักษาด้วยเคมีบำบัดเข้ากับยาสมุนไพรจีนและฝังเข็มสามารถช่วย ยกระดับประสิทธิผลการรักษามะเร็งระยะลุกลาม ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในด้านการควบคุมโรค การอยู่รอด และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ตัวอย่างผลการศึกษาที่สำคัญ ได้แก่

1.มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก ระยะลุกลาม (Advanced Non-Small Cell Lung Cancer (NSCLC)): พบว่าการใช้ยาสมุนไพรจีนควบคู่กับการรักษามาตรฐานช่วยลดพิษและผลข้างเคียงจากยาเคมีบำบัด เพิ่มคุณภาพชีวิตและยืดอายุผู้ป่วย ได้จริง นอกจากนี้ยังส่งผลให้การตอบสนองของก้อนมะเร็งดีขึ้น และคะแนนสมรรถนะตามมาตรฐาน Karnofsky สูงขึ้น เมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเคมีบำบัดอย่างเดียว
งานวิจัยหนึ่งพบว่าผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ได้รับรังสีร่วมกับสมุนไพรจีนมีอัตรารอด 5 ปีสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับสมุนไพรอย่างชัดเจน ผู้ป่วยที่รักษาผสมผสานสามารถมีชีวิตอยู่เฉลี่ย 31 เดือน เทียบกับ 16.5 เดือน ในกลุ่มที่ได้การรักษามาตรฐานเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกลุ่มที่เสริมสมุนไพรกับกลุ่มที่เสริมเคมีบำบัด (ทั้งสองกลุ่มมีค่า HR ~0.5 เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม)
ผลข้างเคียงบางอย่างเช่นอาการไอเรื้อรังหรือคลื่นไส้อาเจียนพบได้น้อยลงอย่างมากในกลุ่มที่ได้รับสมุนไพรจีนร่วมด้วย
🔗 https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC6536969/

2. มะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะลุกลาม: มีการทดลองแบบ Randomized Controlled Trial ในประเทศจีน (ใช้สูตรยาสมุนไพร Huangci Granule) แสดงให้เห็นว่าการเสริมสมุนไพรจีนกับเคมีบำบัดและยามุ่งเป้า (เช่น cetuximab หรือ bevacizumab) ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะลุกลามมีช่วงเวลาปราศจากโรค (Progression-Free Survival, PFS) ยาวนานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้ยาหลอก โดยในการรักษาแนวหน้า PFS เฉลี่ยเพิ่มจาก 6.89 เป็น 9.59 เดือน (P = 0.027) ส่วนในการรักษาเป็นเส้นที่สองเพิ่มจาก 4.53 เป็น 6.51 เดือน (P = 0.020) นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับสมุนไพรจีนยังมีคุณภาพชีวิตด้านต่าง ๆ ดีขึ้น (เช่น ลดความเหนื่อยล้า มีความอยากอาหารดีขึ้น) และมีอัตราการเกิดผลข้างเคียงระดับรุนแรง (Grade 3-4) ต่ำลงอย่างชัดเจน
🔗 https://www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2020.00478/full

3. มะเร็งกระเพาะอาหารระยะท้าย: การศึกษาย้อนหลังในจีนซึ่งวิเคราะห์ผู้ป่วย 205 รายตลอดช่วงปี 2001–2018 พบว่าการเพิ่มสมุนไพรจีนกลุ่มเสริมม้ามบำรุงชี่ (เช่น ต้น Codonopsis pilosula, Atractylodes, Poria, เปลือกส้ม เป็นต้น) เข้าไปในการรักษาด้วยเคมีบำบัดมาตรฐาน ส่งผลให้อายุขัยมัธยฐานของผู้ป่วยยาวนานขึ้นถึงประมาณ 21.3 เดือน เทียบกับ 10.8 เดือน ในกลุ่มที่ได้เฉพาะเคมีบำบัด (ความแตกต่างมีนัยสำคัญทางสถิติ, P = 0.001) โดยไม่มีผลข้างเคียงเพิ่มเติมจากสมุนไพร
ข้อสรุปคือสมุนไพรจีนสูตรเสริมม้ามบำรุงร่างกายร่วมกับเคมีบำบัด (เช่นสูตรยาที่มีหวงฉีหรือโสมเป็นหลัก) สามารถ เพิ่มอัตราการรอดชีวิตระยะยาว ของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลามได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่เพิ่มความเป็นพิษในการรักษา
🔗 https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC8941405

4.มะเร็งเต้านมระยะลุกลาม: การศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจากฐาน National Health Insurance Research Database ของไต้หวัน พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม (advanced breast cancer) ที่ได้รับการรักษาด้วยแพทย์แผนจีนเสริม (เช่น สมุนไพรจีน) ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน มีอัตราการเสียชีวิตที่ลดลง:
โดยกลุ่มที่ใช้แพทย์แผนจีนติดต่อกันระหว่าง 30–180 วัน มีความเสี่ยงเสียชีวิตลดลง (adjusted HR = 0.55)

และกลุ่มที่ใช้เกิน 180 วัน มีความเสี่ยงต่ำลงมากขึ้น (adjusted HR = 0.46)
สถิตินี้ชี้ให้เห็นถึง ศักยภาพในการยืดอายุผู้ป่วย เมื่อผนวกการรักษาทางเลือกเข้าไปในการดูแลมาตรฐาน
🔗 https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/24496917/

5.คุณภาพชีวิตและอาการข้างเคียง: นอกเหนือจากตัวชี้วัดด้านการรอดชีวิต การรักษาผสมผสานยังช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตและลดความรุนแรงของอาการไม่พึงประสงค์จากการรักษา ตัวอย่างเช่น การศึกษาแบบสุ่มที่ไต้หวันเปรียบเทียบผู้ป่วยที่ได้เคมีบำบัดอย่างเดียวกับผู้ที่ได้เคมีบำบัดควบคู่แพทย์แผนจีน พบว่าหลังการรักษา 8 สัปดาห์ กลุ่มเคมีบำบัดอย่างเดียวมีคะแนนคุณภาพชีวิตลดลงทุกด้าน (ร่างกาย จิตใจ สังคม สิ่งแวดล้อม) อย่างมีนัยสำคัญ และยังตรวจพบภาวะพร่องพลังชีวิต (ชี่พร่อง) และหยินพร่องเพิ่มขึ้นในกลุ่มนี้ ขณะที่กลุ่มที่รักษาผสมผสานกลับมีคะแนนสุขภาวะทางกายดีขึ้น และไม่มีอัตราการเกิดภาวะชี่พร่อง/หยินพร่องเพิ่มขึ้นเลย โดยสอดคล้องกับงานวิจัยอื่น ๆ ที่ระบุว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบผสมผสานมีคุณภาพชีวิตดีกว่าและมีอาการกลุ่มอ่อนเพลียตามแบบแพทย์แผนจีน (เช่น อาการชี่พร่อง) น้อยกว่ากลุ่มที่รักษาเฉพาะทางตะวันตก
นอกจากนี้ การวิเคราะห์ฐานข้อมูล (meta-analysis) ในจีนหลายฉบับยืนยันผลลัพธ์ทำนองเดียวกัน โดยเฉพาะในมะเร็งระบบทางเดินอาหาร เช่น มะเร็งกระเพาะอาหารที่พบว่าการใช้ยาสมุนไพรควบคู่เคมีบำบัดชนิด paclitaxel ช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองของเนื้องอกประมาณ 1.4 เท่า เพิ่มคะแนนคุณภาพชีวิต (KPS) อย่างมีนัยสำคัญ และลดความถี่ของผลข้างเคียงหลักๆ เช่น เม็ดเลือดขาวต่ำ ไขกระดูกถูกกด คลื่นไส้อาเจียน อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับเคมีบำบัดอย่างเดียว
🔗 https://clinmedjournals.org/articles/ijccr/international-journal-of-cancer-and-clinical-research-ijccr-6-118.php
🔗 https://www.frontiersin.org/journals/pharmacology/articles/10.3389/fphar.2020.598886/full

😍สรุปคือภาพรวมหลักฐานเหล่านี้ชี้ว่า การรักษามะเร็งแบบผสมผสานแพทย์แผนปัจจุบันกับแพทย์แผนจีนสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการรักษาแบบเดี่ยว ทั้งในด้านการควบคุมโรค การยืดอายุผู้ป่วย การเสริมคุณภาพชีวิต และการลดอาการไม่พึงประสงค์ ผู้ป่วยมักสามารถทนต่อการรักษาที่รุนแรง (เช่น คีโม) ได้ดีขึ้น ทำให้รักษาได้ครบตามแผน ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลบวกต่อพยากรณ์โรคโดยรวมครับ

✍🏻 เราอยู่ในยุคที่สามารถหาข้อมูลทางด้านการรักษาได้ และสามารถเลือกวิธีการรักษาที่ดีที่สุดได้เช่นกันครับ
จากประสบการณ์ของหมอศาสตร์การแพทย์แผนจีน
มีประสิทธิภาพมากในการนำมาใช้รักษาแบบผสมผสานเพื่อทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาว มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาจากการให้คีโมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากๆครับ

#หมอแมนแพทย์จีน
#การรักษามะเร็งแบบผสมผสาน
#คีโมร่วมกับฝังเข็มยาจีน

04/08/2025

EP67 ** โซเดียมกับภาวะไตเสื่อม 🪦
💀เราไม่ตระหนักหรือเพราะไตเราไม่สำคัญพอ

สวัสดีครับ วันนี้หมออยากชวนทุกคนคุยเรื่อง “ภาวะไตเสื่อม”จากสถิติล่าสุด คนเป็นโรคไตในประเทศไทย มีแนวโน้มอายุน้อยลงเรื่อย ๆ และที่น่าตกใจคือ จำนวนผู้ป่วยที่ต้องฟอกไตก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี
📍 แล้วต้นตอที่สำคัญอยู่ไหนรู้ไหมครับ?
อยู่ที่ ของกินของใช้ในชีวิตประจำวันเรานี่แหละ!
อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องปรุง สิ่งที่เราทานกันทุกวันโดยไม่รู้เลยว่า มันกำลังทำร้ายไตเราแบบเงียบ ๆ

🩺 ประสบการณ์ตรงจากคลินิกในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

หมอได้เจอคนไข้ไตเสื่อมหลายรายครับ
บางคนอายุเยอะแล้ว ซึ่งพอเข้าใจกันได้
แต่บางคน…อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหมอเลยครับ

หลายรายมีอาการเหมือนกันคือ
- ตรวจพบโปรตีนรั่วในปัสสาวะ
- บวมน้ำ อ่อนเพลีย ปัสสาวะบ่อยโดยไม่รู้สาเหตุ
- และที่น่ากังวลคือ ค่า eGFR หรือค่าการกรองของไต ต่ำกว่ามาตรฐาน

แต่สิ่งที่เหมือนกันเกือบทุกคนคือ
➡️ ชอบทานอาหารสำเร็จรูป
➡️ ไม่รู้ว่าอาหารที่ไม่เค็ม…ก็ยังมีโซเดียมแฝง

อย่างคุณยายรายหนึ่งที่มีปัญหาไตเสื่อมเดิม ชอบทานโจ๊กสำเร็จรูปในตอนเช้ามาก เพราะรู้สึกว่าเป็นอาหารที่ทานง่าย รสชาติไม่จัด แค่ใส่ไข่ เติมน้ำร้อน ก็สามารถทานได้แล้ว แต่รู้ไหมครับว่า โจ๊กสำเร็จรูปหนึ่งถ้วยนั้น มีปริมาณโซเดียมสูงถึง 1,200–1,500 มิลลิกรัม เลยทีเดียว! แค่หนึ่งมื้อก็เกือบเทียบเท่าปริมาณโซเดียมที่ร่างกายของคนทั่วไปควรได้รับในหนึ่งวันแล้วครับ นอกจากนี้ คุณยายยังชอบทานอาหารที่ดูเหมือนจะ “คลีน” อย่างก๋วยเตี๋ยว แต่ก็มักจะซดน้ำซุปจนหมด เพราะรู้สึกว่าคล่องคอดี อันนี้หนักไปใหญ่เลยครับ เพราะน้ำซุปมักมีทั้งซีอิ๊ว ผงปรุงรส เกลือ และน้ำปลาอยู่ด้วยกันครบโซเดียมมาเต็ม

ซึ่งไตเป็นอวัยวะที่เงียบครับ มันไม่แสดงอาการชัดเจนเหมือนอวัยวะอื่น
พอรู้ตัวอีกที…ก็มักจะเข้าสู่ “ระยะเสื่อม” ไปแล้วและเมื่อถึงจุดที่ต้องฟอกไต ชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยครับ

แต่อีกรายนึง แม้จะอายุ 40 ต้นๆ มาด้วยอาการ ปัสสาวะเป็นฟอง อ่อนเพลียไม่มีแรงแม้จะพักผ่อนอย่างเต็มที่ก็ตามเมื่อไปตรวจร่างกาย พบค่า eGFR ต่ำกว่า 50 เมื่อสอบถามพฤติกรรมพบว่าเป็นพ่อค้าขายส้มตำ ในทุกๆวันต้องทานส้มตำชิมส้มตำให้กับลูกค้าเป็นประจำ นอกจากนั้นยังชอบทานอาหารเสริมหลายประเภทต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานานรวมถึงทานยาแก้ปวดอย่างต่อเนื่องอีกด้วย  ประกอบกับเป็นคนขยันทำงานเวลาพักผ่อนน้อยยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนแออย่างหนัก

จะเห็นได้ว่าคนไข้ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางด้านอาหาร ทั้งสารปรุงรส ผงชูรส อาหารสำเร็จรูป รวมถึงอาหารเสริมและยาแก้ปวดยารักษาโรค  โดยรับประทานต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน

📍 วันนี้เราจะมาพูดถึงในมุมมองของอาหาร เรามารู้จักกันดีกว่าครับว่า “โซเดียม” คืออะไร ทำไมมีในอาหาร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับไต?

โซเดียมคือแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่ร่างกายต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม
มันมีหน้าที่สำคัญ เช่น
– ช่วยควบคุมสมดุลน้ำในร่างกาย
– ช่วยการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
– รักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ

แต่ถ้าเรารับโซเดียมมากเกินไปทุกวันไตก็จะต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อขับออกจากร่างกาย ยิ่งรับมาก ไตก็ยิ่งเหนื่อย และนานวันเข้า ไตก็เริ่มเสื่อมโดยที่เราไม่รู้ตัว

โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัวอย่างความดันสูง หรือเบาหวานการบริโภคโซเดียมมากเกินไป เป็นหนึ่งในตัวเร่งให้เข้าสู่ “โรคไตเรื้อรัง” ได้เร็วขึ้น

🌐องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า คนทั่วไปไม่ควรรับโซเดียมเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน
เทียบง่าย ๆ ก็ประมาณ “เกลือหนึ่งช้อนชา” เท่านั้นเอง

แล้วถ้าโซเดียมในร่างกายเราสูงเกินจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

✍🏻อย่างแรกเลยคือ “บวมน้ำ”
เมื่อร่างกายมีโซเดียมมากเกินไป
มันจะดึงน้ำไว้ในเนื้อเยื่อ ทำให้รู้สึกบวม
บางคนรู้สึกว่าหน้าบวม ขาบวม รองเท้าคับ ใส่แหวนแล้วแน่น
หรือแม้แต่ตื่นเช้ามาตาก็บวม

✍🏻อย่างที่สองคือ “ความดันโลหิตสูง”
โซเดียมจะทำให้ปริมาณเลือดในร่างกายเพิ่มขึ้น
เลือดไหลแรงขึ้น หลอดเลือดก็ต้องต้านมากขึ้น
สุดท้ายความดันก็สูงขึ้นแบบไม่รู้ตัว
และความดันสูงนี่แหละครับ…คือต้นเหตุของโรคไตเรื้อรังในระยะยาว

✍🏻อย่างที่สามคือ “ไตเสื่อม”
เมื่อไตต้องทำงานหนักเพื่อกรองโซเดียมออก
นานวันเข้าเซลล์ไตก็จะเหนื่อย อ่อนแรง
ความสามารถในการกรองของเสียลดลง โปรตีนรั่วทางปัสสาวะ
และอาจพัฒนาไปสู่ “ไตวายเรื้อรัง” ที่ต้องฟอกไตในที่สุด

นี่ยังไม่นับรวมถึงปัญหาหัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรืออาการปวดศีรษะที่พบในบางคนเมื่อโซเดียมสูงมาก ๆ

💀หมอขอยกตัวอย่างอาหารใกล้ตัว ที่มีปริมาณโซเดียมสูง เพื่อให้ทุกท่านสังเกตและปรับเปลี่ยนกันได้นะครับ

อยากให้ทุกคนลองดูตัวอย่างเหล่านี้นะครับ
✅โจ๊กซองสำเร็จรูป 1 ถ้วย 1,200–1,500 มิลลิกรัม
✅บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 1 ห่อ 1,500–1,800 มิลลิกรัม
✅ก๋วยเตี๋ยวเรือ 1 ชาม พร้อมน้ำซุปื 1,000–1,400 มิลลิกรัม
✅ปลากระป๋อง 1 กระป๋อง 700–1,000 มิลลิกรัม
✅ไส้กรอก/ลูกชิ้น/แฮม 1 ชิ้น 500–800 มิลลิกรัม
✅น้ำจิ้มซีฟู้ด 1 ถ้วยเล็ก (2 ช้อนโต๊ะ) 600–800 มิลลิกรัม
✅ขนม เช่น มันฝรั่งทอด 1 ถุงเล็ก400–600 มิลลิกรัม
✅น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ 1,300–1,500 มิลลิกรัม
✅น้ำปลาร้า 1 ช้อนโต๊ะ 1500 - 1800 มิลลิกรัม

ลองคิดดูแล้วกันครับว่าันๆเราทานอาหารพวกนี้บ้างรึเปล่า
แล้วปีๆนึงเราตรวจค่าการทำงานของไตกันบ้างมั้ย

🍃แพทย์จีนรักษาไตเสื่อมได้มั้ย? ขับโซเดียมได้หรือเปล่า?

👉อาการไตเสื่อม จะสะท้อนถึงความสามารถในการขับโซเดียมออกจากร่างกายจะลดลง โซเดียมที่สะสมในร่างกายจะดึงน้ำไว้ในเนื้อเยื่อทำให้เกิดอาการบวมน้ำ หายใจเหนื่อย ความดันสูงและอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เข้าสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวหรือไตวายเร็วขึ้นครับ

📚ในมุมมองการแพทย์แผนจีนแม้จะไม่มีคำว่าโซเดียมแต่มีแนวคิดในการดูแลสมดุล
ของเหลว ความชื้น อิน และหยาง

อย่างโซเดียมที่มากเกินในร่างกาย จะแสดงออกมาในลักษณะของ

– น้ำคั่งในช่องต่าง ๆ (湿、痰饮、水肿)
– อวัยวะปอด ม้าม ไต เสียสมดุล
– ปัสสาวะน้อย บวม แน่น หายใจไม่สะดวก
– หยางพร่อง–ไตพร่อง ทำให้ขับของเสียไม่ออก

ดังนั้นแนวทางของแพทย์จีนในการขับโซเดียมจึงมุ่งเน้นไปที่ 3 แนวทางหลัก ได้แก่

1. 利水消肿 (ขับน้ำ–ลดบวม)

เหมาะกับคนไข้ที่มีภาวะบวมน้ำ ปัสสาวะน้อย
ใช้ยาสมุนไพรที่กระตุ้นการขับปัสสาวะ เช่น
茯苓 (ฝูหลิง) 猪苓 (จูหลิง) 泽泻 (เจ๋อเซี่ย)车前子 (เชอเฉียนจื่อ)

กลุ่มนี้ช่วยขับน้ำโดยไม่ทำลายพลังหยางของร่างกาย
ซึ่งต่างจากยาขับปัสสาวะแบบแผนปัจจุบันที่อาจทำให้เสียโพแทสเซียมหรืออ่อนแรงได้ง่าย

2. 健脾化湿 (เสริมม้าม–ขับความชื้น)

หากพิจารณาตามศาสตร์จีน “ม้าม” คืออวัยวะที่ควบคุมน้ำในร่างกาย
เมื่อม้ามอ่อนแอ น้ำจะคั่ง เกลือจะแฝง
จึงมักใช้สมุนไพรช่วยเสริมม้าม เช่น
白术 (ไป๋จู๋) 茯苓 (ฝูหลิง) 陈皮 (เฉินผี)扁豆 (เปี้ยนโต่ว)

เหมาะกับคนไข้ที่กินอาหารไม่ย่อย อ่อนเพลีย ขาเย็น ท้องอืดร่วมด้วย

3. 温阳利水 (อุ่นหยาง–ขับน้ำ)

ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะท้าย ตามศาสตร์จีนมักพบ “หยางพร่อง”
ทำให้ระบบเผาผลาญช้า ขับน้ำได้น้อย
จึงใช้ยาที่มีฤทธิ์อุ่นไต เช่น
附子 (ฝู่จื่อ) 肉桂 (โหร่วกุ้ย)干姜 (กันเจียง)

กลุ่มนี้ช่วยกระตุ้นพลังของไตให้กลับมาขับน้ำได้อีกครั้ง
ใช้ในรายที่บวมทั้งตัว หนาวง่าย เหงื่อเย็น มือเท้าเย็น

👀โดยหมอจีนจะประเมินลิ้น ชีพจร และอาการประกอบกันเสมอ เพื่อเลือกวิธีขับโซเดียมที่เหมาะสมที่สุดกับ “สมดุลของคนไข้แต่ละคน” ไม่ใช่ทุกคนที่บวมจะใช้วิธีเดียวกันหมด และต้องผ่านการวินิจฉัยว่าอวัยวะใดเสียสมดุลบ้าง

✍🏻ฝังเข็ม
📍และในกรณีที่ผู้ป่วยมีค่า eGFR ต่ำมาก หรืออยู่ในระยะที่จำเป็นต้องฟอกไตแล้วแพทย์แผนจีนจะใช้แนวทางรักษาอย่างระมัดระวัง โดย ลดการใช้ยาสมุนไพรที่ไม่จำเป็นลง
เนื่องจากในภาวะที่ไตมีการทำงานลดลงอย่างมาก การขับสารต่าง ๆ ออกจากร่างกายจะลดลงด้วย จึงมีความเสี่ยงที่ตัวยาบางชนิดจะสะสมในร่างกายมากกว่าปกติ

✅แนวทางที่แพทย์จีนเลือกใช้ในระยะนี้คือ เน้นการฝังเข็มเพื่อปรับสมดุลและส่งเสริมกลไกของไตให้ดีขึ้น เช่น กระตุ้นการไหลเวียนของพลังชี่และเลือด บำรุงไตเสริมหยาง บำรุงอินของไต ลดภาวะบวมน้ำ อ่อนแรง หรือการคั่งของของเสียที่อาจเกิดจากพลังไตพร่อง

✅การฝังเข็มในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังจึงเป็นแนวทางที่ปลอดภัยกว่าในระยะที่การทำงานของไตลดลงมาก
โดยเฉพาะเมื่อใช้ควบคู่กับการแพทย์แผนปัจจุบันในการฟอกไตหรือควบคุมอาการร่วมอื่น

🔬วิธีประเมินความเสี่ยงโรคไต

มุมมองแพทย์แผนปัจจุบัน + แพทย์แผนจีน

1. การประเมินความเสี่ยงตามแพทย์แผนปัจจุบัน

✅ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคไต
มีโรคประจำตัว: เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
• มีประวัติโรคไตในครอบครัว
• มีอายุมากกว่า 60 ปี
• น้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน
• สูบบุหรี่ หรือใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เป็นประจำ
• รับประทานอาหารเค็ม หรือแปรรูปเป็นประจำ
• ดื่มน้ำน้อย หรือมีภาวะขาดน้ำเรื้อรัง

🧪 การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
• ค่า eGFR (estimated Glomerular Filtration Rate):ใช้ประเมินการทำงานของไต โดยค่าปกติควรมากกว่า 90 ml/min ค่าต่ำกว่า 60 ติดต่อกันเกิน 3 เดือน = เข้าข่ายโรคไตเรื้อรัง
• ตรวจปัสสาวะหาค่าโปรตีน (Proteinuria / Albuminuria):ถ้ามีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ แสดงว่าเยื่อกรองของไตเริ่มผิดปกติ
• ตรวจค่า Creatinine และ BUN:
บ่งบอกถึงการคั่งของของเสียในร่างกายจากการทำงานของไตบกพร่อง

2. การประเมินความเสี่ยงจากมุมมองแพทย์แผนจีน

แพทย์จีนจะประเมินจากองค์ประกอบของ “ไต” ที่เชื่อมโยงกับระบบพลังชีวิตทั้งหมด
รวมถึงสมดุล หยิน–หยาง, การเคลื่อนไหวของ “ชี่” และการคั่งของความชื้นในร่างกาย

🚫สัญญาณเตือนตามศาสตร์แพทย์จีน
• ปวดเมื่อยหลังช่วงเอวหรือเข่าเรื้อรัง
• ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน / ปัสสาวะขัด / สีเข้มจัด
• เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรัง แม้นอนพอ
• หน้าหมอง ซีด มือเท้าเย็น
• ลิ้นซีดมีรอยฟัน หรือบวมชื้น
• ชีพจรลึก อ่อน หรือจม

กลุ่มพลังที่มักผิดปกติในผู้เสี่ยงโรคไต
👉ไตหยินพร่อง (อ่อนเพลีย ร้อนฝ่ามือ เหงื่อออกกลางคืน)
👉ไตหยางพร่อง (หนาวง่าย ขาเย็น บวม ปัสสาวะบ่อยใส)
👉ชี่ไตพร่อง (เหนื่อยง่าย เสียงอ่อน เบื่ออาหาร)
👉การคั่งของความชื้นและเสมหะ (บวมน้ำ ท้องอืด หนักตัว)

เห็นไหมครับว่า โซเดียม และ ภาวะไตเสื่อม ดีน่ากลัวกว่าที่คิด ระวังตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ นะครับอย่าปล่อยให้ถึงวันที่สาย

เพราะ “ไตของเรา…มีแค่คู่เดียว”และเมื่อมันพังไปแล้ว มันจะไม่เหมือนเดิมอีกเลย

ดูแลไตวันนี้ จะได้ไม่ต้องฟอกไต
หมอเป็นครับ จากคนประสบการณ์ตรงที่ดูแลคนไข้โรคไต

#หมอแมนแพทย์จีน
#โซเดียม
#ภาวะไตเสื่อมในมุมมองแพทย์จีน

05/07/2025

EP63**สัญญาณไตวายก่อนวัย ใครพร้อมยกมือขึ้น🥹

✅ 9 สัญญาณที่กำลังบอกว่า “ไตของคุณอาจเริ่มมีปัญหา”

1.ตื่นมาก็เหนื่อย เพลียทั้งวัน
🧠 อาจบ่งถึง “ชี่ไตพร่อง (肾气虚)” ในมุมจีน หรือการกรองเสียของไตเริ่มเสื่อม → ของเสียคั่งในเลือด ทำให้รู้สึกเพลียไม่สดชื่นแม้นอนเต็มที่

2.ปัสสาวะกลางคืนบ่อย (เกิน 2 ครั้ง/คืน)
🛌 ปกติร่างกายควรหลั่ง ADH (ฮอร์โมนยับยั้งการปัสสาวะ) มากเวลากลางคืน ถ้าไตเสื่อม ฮอร์โมนทำงานผิด สมดุลน้ำเสีย → ปัสสาวะบ่อย เป็นอาการของ “ไตหยางพร่อง (肾阳虚)” ทำให้พลังควบคุมกระเพาะปัสสาวะอ่อนแอ

3.ขาบวม ตาตุ่มบุ๋มตอนเย็น ๆ
💧 ไตทำหน้าที่ขับของเหลว → ถ้ากรองน้ำไม่ได้ดี จะเกิด “น้ำคั่ง” โดยเริ่มบวมจากปลายเท้าเป็นอาการที่มาจาก “水湿困脾” น้ำและความชื้นติดขัด มีพื้นฐานมากจากหยางอวัยวะไตและม้ามพร่อง

4.เบื่ออาหาร คลื่นไส้แต่ไม่รู้สาเหตุ
🧬 เมื่อไตเสื่อม ของเสีย (ยูเรีย ฯลฯ) คั่งในเลือด → ส่งผลต่อระบบย่อย “ชี่ไตไม่ส่งเสริมม้าม” ทำให้ระบบย่อย (脾胃) อ่อนแรงตาม

5.คันผิวเรื้อรัง ตรวจเลือดก็ปกติ
🩸 เป็นอาการจาก “สารพิษคั่งเรื้อรังในเลือด” แม้ค่าการทำงานของไตจะยังไม่ตก แพทย์จีนมองว่าเลือดไม่ชุ่ม ผิวแห้ง และ “ลมเลือดคั่ง (血风)” ก่อคันเรื้อรัง

6.ผิวแห้ง สีคล้ำ มีจุดดำรอบตา
🌚 ไตควบคุมผิวหนังส่วนลึก (深层滋养) และ “เปิดทวารที่ใบหน้า” → ผิวดำคล้ำ บริเวณรอบตาเป็นจุดดำ เป็นอาการแสดงของ “肾虚精亏” (สารจิงพร่อง ไตพร่องเรื้อรัง

7. ปัสสาวะมีฟอง หรือมีกลิ่นแรง
💦 ฟองในปัสสาวะ = โปรตีนรั่วจากไต
กลิ่นแรง = ของเสียไนโตรเจนคั่ง
แพทย์จีนสอดคล้องกับ“湿热下注” (ชื้นร้อนลงล่าง) หรือ “肾失固摄” (ไตควบไม่อยู่)

8.ความดันสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ
💣 ความดันมักขึ้นจากการคั่งเกลือ–น้ำ → ไตเป็นอวัยวะควบคุมความดันโดยตรง
แพทย์จีนมองว่า “肾虚不能纳气” → พลังไตอ่อน → เส้นลมปราณตึงขึ้นดันหัวใจ

9.เคยใช้ยาแก้ปวดหรือสมุนไพรแรง ๆ ต่อเนื่องนาน
💊 พวก NSAIDs, สมุนไพรขับปัสสาวะแรง ๆ → ทำลายไตโดยตรง
แพทย์จีนมองว่าถือเป็น “ยาร้อน–ยาขม–บั่นทอนไต” → ทำให้สารจิงพร่องและชี่อ่อนแอ

📍แล้วถ้ามีความเสี่ยงแล้วต้องตรวจไต ต้องทำอย่างไร?

🧪 ค่าตรวจไต…ดูจากอะไรบ้าง? แล้วแค่ไหนถึงเรียกว่า “ผิดปกติ”?
1. ครีเอตินิน (Creatinine)
เป็นของเสียที่ไตต้องกรองออกจากเลือด ยิ่งค่าสูง ยิ่งแปลว่าไตทำงานหนัก
– ถ้าเป็นผู้ชาย ปกติควรอยู่ราว 0.7 ถึง 1.3 mg/dL
– ถ้าเป็นผู้หญิง ควรอยู่ประมาณ 0.6 ถึง 1.1 mg/dL
ถ้าเกินจากนี้ ไตอาจเริ่มมีปัญหาแล้ว

2. ค่า eGFR (Estimated GFR)
เป็นค่าที่คำนวณจากครีเอตินินร่วมกับอายุ เพศ และเชื้อชาติ
ยิ่ง eGFR ต่ำ ยิ่งแสดงว่าไตกรองของเสียได้น้อย
– ถ้าอยู่ มากกว่า 90 ถือว่าปกติ
– ถ้าเหลือ ต่ำกว่า 60 ติดต่อกันนานเกิน 3 เดือน ถือว่า “ไตเสื่อม”
– ถ้าต่ำกว่า 15 อาจต้องเข้าสู่กระบวนการฟอกไต

3. BUN (Blood Urea Nitrogen)
เป็นตัวบอกของเสียจากการย่อยโปรตีน ถ้าสูง แปลว่าไตขับยูเรียได้น้อย
– ค่าปกติจะอยู่แถว ๆ 7 ถึง 20 mg/dL
– ถ้าเกิน 20 โดยเฉพาะถ้าร่วมกับครีเอตินินสูง อาจบ่งชี้ไตทำงานผิดปกติ

4. ตรวจปัสสาวะ (Urinalysis)
ใช้ดูหลายอย่างเลย เช่น
– ถ้ามี โปรตีนในปัสสาวะ แม้เพียงเล็กน้อย (เช่น trace, +) ก็อาจเริ่มมีภาวะไตรั่ว
– ถ้ามีเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะแปลว่าอาจมีการอักเสบในไต
– ถ้าปัสสาวะมีกลิ่นแรง มีฟองมาก หรือลักษณะขุ่น ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าไตไม่สมดุล

5. ความดันโลหิต
ความดันสูงสามารถทำลายเส้นเลือดฝอยในไตได้โดยตรง
– ถ้าเกิน 140/90 mmHg และเป็นบ่อย ๆ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อไตเสื่อมแบบไม่รู้ตัว การควบคุมความดันจึงสำคัญมากต่อการป้องกันโรคไต

😭ส่วนพฤติกรรมแบบนี้…ระวัง “ไตวายไม่รู้ตัว”นะครับ!

ลองเช็กดูว่าคุณมีพฤติกรรมแบบนี้หรือเปล่า?

1.กินเค็มเป็นนิสัย

อาหารรสจัด น้ำปลาตักไม่ยั้ง ซุปก้อน–ผงปรุงรสทุกมื้อ
➡️ โซเดียมสะสมทำให้ความดันสูง ไตต้องกรองเกลือเยอะขึ้น เสี่ยงไตพัง
📍 แพทย์จีนถือว่า “เกลือรสเค็มเป็นธาตุน้ำ” ถ้ากินมากเกิน ทำร้ายไตโดยตรง

2.ดื่มน้ำน้อย

วัน ๆ ดื่มแต่น้ำหวาน กาแฟ ชา แต่ลืมน้ำเปล่า
➡️ ปัสสาวะข้น ไตต้องทำงานหนัก ของเสียตกค้างง่าย
📍 ตามหลักจีน “น้ำคือหยิน” ดื่มน้ำน้อย = หยินพร่อง
ไตหยินพร่อง = เสื่อมเร็ว

3.ใช้ยาแก้ปวดบ่อยโดยไม่จำเป็น

ทั้งยาแก้ปวดข้อ ยาแก้ไมเกรน หรือพาราต่าง ๆ
➡️ กลุ่ม NSAIDs ทำลายหลอดเลือดฝอยในไตโดยตรง
📍 ยาร้อนทำร้าย “สารจิงของไต” ตามแพทย์จีน

4.สมุนไพรบางชนิดที่กินต่อเนื่องโดยไม่มีคำแนะนำ

เช่น สมุนไพรขับปัสสาวะ ขับลม หรือยาลูกกลอนแรง ๆ
➡️ มีรายงานว่าทำให้เกิด “พิษต่อไต” โดยเฉพาะแบบแอบแฝง
📍 ยาขมจัด–เย็นจัด ทำลายพลังหยางของไตได้เช่นกัน

5.ดื่มแอลกอฮอล์หนักเป็นประจำ

➡️ ตับและไตต้องรับภาระขับพิษพร้อมกัน
ไตเสียไปเงียบ ๆ โดยไม่รู้ตัว
📍 จีนมองว่า “สุราร้อน ไฟเข้าไต” ทำให้เกิดภาวะ “ไตร้อน–หยางพร่องตาม”

6.พักผ่อนไม่พอ นอนดึกเรื้อรัง

➡️ ไตเป็นอวัยวะที่ชอบ “การพัก” เพราะเกี่ยวข้องกับสารจิง (พลังชีวิตดั้งเดิม)
📍 ถ้านอนดึก–ทำงานหักโหมมาก ๆ จะทำให้ “ไตพร่องก่อนวัย”

7.ไม่เคยตรวจสุขภาพเลย

➡️ ไตเสื่อมระยะแรกมักไม่มีอาการ
กว่าจะรู้ ก็อาจเข้าสู่ระยะ “ไตวายเรื้อรัง” ไปแล้ว

🌐โรคไตไม่ไกลตัวแล้วนะครับ ปัจจัยการใช้ชีวิตประจำวันถือว่าเป็นความเสี่ยงมาก และเมื่อเป็นโรคไตแล้วจะย้อนกลับมาเพื่อให้แข็งแรงเหมือนเดิมเป็นไปได้ยากมากครับ

หมอแมนอยากให้ทุกคน รีบดูแลตัวเองตั้งแต่ต้นก่อนที่จะสายเกินไป อย่าให้ถึงต้องฟอกไตเลยนะครับ❤️

#สัญญาณโรคไต
#โรคไตใกล้ตัวมากกว่าที่คิด
#หมอแมนแพทย์จีน

👍
04/07/2025

👍

EP62** 🦴 กระดูกงอกแคลเซียมเกาะ สัญญาณอันตราย

“กระดูกงอก” ไม่ใช่โรค
แต่มันคือ สัญญาณว่า ร่างกายกำลังพยายามซ่อมแซมอะไรบางอย่างผิดวิธี

ในอีพีนี้ หมอจะพามาเจาะลึกว่า
✅ กระดูกงอกจริง ๆ คืออะไร?
✅ ทำไมร่างกายถึงต้องสร้างขึ้นมาเอง?
✅ ใครเสี่ยงบ้าง?
✅ แพทย์จีนมองยังไง และรักษาได้ไหม?

ทั้งหมดนี้…จะทำให้คุณเข้าใจว่า
“ถ้ารู้ทันร่างกายตั้งแต่เริ่มต้น เราอาจไม่ต้องเจ็บถึงขั้นสุดท้ายก็ได้ครับ”


☯️แพทย์จีนมองกระดูกงอก–แคลเซียมเกาะอย่างไร?

ในมุมของแพทย์จีน “กระดูกงอก” หรือ “แคลเซียมเกาะตามข้อ” ไม่ได้มองว่าเป็นแค่เรื่องของกระดูกเสื่อมหรืออายุมากขึ้นเท่านั้น แต่เป็น ผลปลายเหตุจากความไม่สมดุลภายในของร่างกาย โดยเฉพาะระบบพลัง “ไต ตับ เลือด และชี่”

อันดับแรก แพทย์จีนเชื่อว่า “ไตเป็นรากของกระดูก” (肾主骨) ถ้าไตพร่อง ไตอ่อนแรง พลังในการหล่อเลี้ยงไขกระดูกก็ลดลง กระดูกจะเริ่มแห้ง เสื่อม และพยายามซ่อมตัวเองโดยการ “งอก” เพิ่ม ซึ่งการงอกนี้มักเป็นแบบผิดธรรมชาติ เป็นลักษณะกระดูกงอกหรือมีแคลเซียมสะสมผิดตำแหน่ง

ในขณะเดียวกัน ตับในแพทย์จีนควบคุมเส้นเอ็น (肝主筋) ถ้าพลังตับติดขัด หรือเลือดตับไหลเวียนไม่ดี เส้นเอ็นที่ยึดกระดูกก็จะหดเกร็งผิดปกติ ทำให้กระดูกถูกดึงหรือกดในทิศทางไม่เหมาะสม เกิดแรงเสียดในข้อจนมีการสร้างกระดูกงอกเป็นการตอบสนองของร่างกาย

อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญมากคือ ภาวะ ชี่และเลือดติดขัด หรือที่เรียกว่า “气滞血瘀” ซึ่งเป็นการไหลเวียนพลังและเลือดที่ไม่ลื่นไหล ทำให้เกิดการสะสมตกตะกอนของเสียในข้อต่อ เกิดเป็น “痹症” หรือภาวะข้อยึด ติด ปวด บวม และเป็นรากของปัญหาแคลเซียมเกาะตามข้อ

ตำแหน่งที่เกิดกระดูกงอกก็มักจะสะท้อนถึงภาวะภายใน เช่น
ถ้าเป็นที่เข่า มักสัมพันธ์กับไตพร่องและเลือดติดขัด
ถ้าเป็นที่ต้นคอหรือหลังส่วนล่าง อาจเกี่ยวกับพลังตับติดขัด เส้นตึงเรื้อรัง หรือท่าทางที่ทำให้ชี่ไหลเวียนผิดทาง

🌐ในมุมวิทยาศาสตร์ กระดูกงอกคือการที่ข้อต่อเสื่อม แล้วร่างกายพยายามสร้างเนื้อกระดูกเพิ่มเพื่อลดแรงกระแทก แต่กลายเป็น “งอกผิดที่” ซึ่งทำให้ข้อยึดหรือเส้นประสาทถูกกดทับร่วมด้วย เช่น ในคอ ในหลัง หรือข้อเข่า

และบางครั้งแคลเซียมที่เกาะผิดที่ อาจมีรากเหง้ามาจาก ความเป็นกรดในเลือด (acidic pH) เช่น การกินโปรตีนจัด เครียดเรื้อรัง หรือดื่มน้ำน้อย ซึ่งล้วนแต่ไปกระตุ้นให้แคลเซียมหลุดจากกระดูกมาเกาะตามเนื้อเยื่อต่าง ๆครับ

****

🦴 ผลเสียของกระดูกงอก–แคลเซียมเกาะต่อร่างกาย

✅ 1. ปวด–ตึง–ชา–ข้อยึดติด

📌 สาเหตุ:
เมื่อมีกระดูกงอกหรือแคลเซียมเกาะบริเวณข้อหรือเส้นเอ็น
มันจะไปกดหรือขัดการเคลื่อนไหวของข้อ → เกิดแรงเสียด
→ ทำให้เกิดการอักเสบ ปวดตึง และข้อติดแบบเรื้อรัง

🧠 ในมุมแพทย์จีน:
คือภาวะ “痹症” (ข้ออุดตัน) หรือ “瘀阻经络” (เลือดคั่งในเส้น)
→ ทำให้ชี่เลือดไหลเวียนไม่ได้ → ปวดแบบตื้อ ๆ หน่วง ๆ

✅ 2. กดทับเส้นประสาท

📌 สาเหตุ:
กระดูกงอกบริเวณ คอ หรือเอว สามารถกดทับเส้นประสาทไขสันหลัง
ทำให้เกิดอาการ “ปวดร้าว–ชาตามแขนหรือขา” และในรายรุนแรง
อาจถึงขั้นอ่อนแรง กล้ามเนื้อลีบ หรือเคลื่อนไหวผิดปกติ

🧠 ในแพทย์จีน:
เรียกว่า “络脉瘀阻” (เส้นลมปราณตื้นถูกอุดตัน) + “肾亏筋弱” (ไตพร่อง กล้ามเนื้อ–เส้นอ่อนแรง)

✅ 3. ความยืดหยุ่นลดลง–กล้ามเนื้อทำงานผิดจังหวะ

📌 สาเหตุ:
เมื่อข้อเคลื่อนไหวได้ไม่สุดช่วง หรือมีแรงกดที่จุดหนึ่งตลอดเวลา
กล้ามเนื้อจะต้องทำงานชดเชยแบบผิดธรรมชาติ → เกิดพังผืด กล้ามเนื้อเกร็งเรื้อรัง
→ กลายเป็นอาการปวดเรื้อรังแบบ “กล้ามเนื้อ–พังผืด” (myofascial pain)

🧠 ในแพทย์จีน:
คือภาวะ “筋脉拘急” (เส้นเอ็นหดเกร็ง) มักสัมพันธ์กับตับที่ตึงเครียดและเลือดพร่อง

✅ 4. กระทบระบบพลังภายใน (ในมุมแพทย์จีน)

แม้บางคนยังไม่มีอาการรุนแรง แต่ถ้ามีแคลเซียมเกาะผิดที่หรือกระดูกงอกเรื้อรัง
ถือเป็นสัญญาณว่า “ระบบไต–ตับ–เลือด–ชี่ เริ่มพร่องหรือติดขัด”

⚠️ ถ้าไม่ดูแลอวัยวะภายในร่วมด้วย…
→ อาจนำไปสู่ปัญหาอื่น เช่น
• ปวดเข่า เดินลำบาก
• ปวดหลังเรื้อรัง นอนไม่หลับ
• ชี่ตับติดขัด → วิตก เครียดง่าย
• ไตพร่อง → ปัสสาวะบ่อย เหนื่อยง่าย หลงลืม

✅ 5. เสี่ยงต่อข้อเสื่อมถาวร–ต้องผ่าตัด

ถ้ากระดูกงอกไปขัดหรือทำลายผิวข้อมากขึ้นเรื่อย ๆ
→ จะเกิดการสึกของกระดูกอ่อน
→ ข้อจะเสื่อมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้าย…ต้อง “ผ่าตัดเปลี่ยนข้อ” หรือ “ผ่าตัดเอากระดูกงอกออก”

🧠 ซึ่งแพทย์จีนมักเน้น “ไม่ให้ถึงจุดนั้น”
โดยฟื้นฟูตั้งแต่ระดับพลังชี่ ปรับสมดุลอวัยวะ และคลายพังผืดเส้นเอ็นก่อนจะพัฒนาไปถึงจุดผ่าตัด

****

👀แล้วใครเสี่ยง “กระดูกงอก–แคลเซียมเกาะ” มากที่สุด?
คนที่เสี่ยงกระดูกงอก–แคลเซียมเกาะ มักมี 3 ปัจจัยหลักร่วมกันคือ
✅ ใช้งานข้อผิดวิธีหรือหนักเกิน
✅ ร่างกายเริ่มเสื่อมหรือไตพร่อง
✅ ระบบชี่เลือดและน้ำในข้อไม่ไหลเวียนดี

1. คนวัยกลางคนขึ้นไป (40 ปีขึ้นไป)

🔍 ทำไมเสี่ยง?
-อายุเพิ่ม → การซ่อมแซมข้อ-กระดูกช้าลง
-กระดูกอ่อนเสื่อมตามวัย → ร่างกายสร้างเนื้อกระดูกใหม่ผิดจุด
-ในแพทย์จีน: พลังไตเสื่อมลงตามอายุ

2. คนที่ใช้งานข้อมาก ซ้ำ ๆ ผิดท่า

เช่น: ครู ยืนสอนนาน, พนักงานโรงงาน, คนยกของ, นักกีฬา

🔍 ทำไมเสี่ยง?
-ข้อถูกกด-เสียดตลอด → ร่างกายตอบสนองด้วยการสร้าง “กระดูกงอก” เพื่อรองรับแรงกด
-ในแพทย์จีน: “气滞血瘀” ชี่ติดขัด เลือดคั่งที่ข้อ → เกิดการแข็งตัวของสารน้ำในข้อ

3. คนที่มีปัญหาชี่ตับติดขัด – เส้นเอ็นตึง – ท่าทางผิด

เช่น: นั่งจ้องคอมนาน เกร็งคอ ไหล่แข็ง

🔍 ทำไมเสี่ยง?
-เส้นเอ็นที่ตึงผิดปกติ จะดึงข้อผิดแนว → ข้อถูกกระตุ้นให้เสื่อมไว
-แพทย์จีนมองว่า “肝气郁结” (พลังตับติดขัด) ทำให้เส้นเอ็นหด-เกร็ง นำไปสู่การดึงข้อแบบผิดธรรมชาติ

4. คนที่เป็นโรคข้อเสื่อม หรือกระดูกพรุนอยู่แล้ว

🔍 ทำไมเสี่ยง?
-เมื่อข้อเริ่มเสื่อม ร่างกายจะพยายาม “ซ่อมแซม” โดยสร้างกระดูกใหม่ → แต่งอกผิดที่
-ในคนที่กระดูกพรุน ระบบเผาผลาญแคลเซียมผิดปกติ → แคลเซียมไปเกาะผิดจุด

🧠 ในแพทย์จีน: “肾虚骨弱 + 痰湿内生” → ไตพร่อง + ความชื้นสะสม → แคลเซียมไม่เคลื่อนดี

5. คนที่กินอาหารเค็มจัด–โปรตีนจัด–ของเย็นจัด

🔍 ทำไมเสี่ยง?
-เค็มจัด = ภาระของไต
-โปรตีนจัด = เพิ่มกรดยูริก → การอักเสบเรื้อรัง
-เย็นจัด = ชะลอการไหลเวียนเลือดในข้อ
-ส่งผลให้เกิดการตกผลึก เกาะแข็งในข้อต่อ (คล้าย “痰湿凝结” ในแพทย์จีน)

6. คนดื่มน้ำน้อย–ออกกำลังกายหนัก–เสียเหงื่อแต่ไม่ชดเชย

🔍 ทำไมเสี่ยง?
-ขาดน้ำ = น้ำในข้อแห้ง = ผิวข้อสึกเร็ว
-กล้ามเนื้อ–เส้นเอ็นตึงง่าย
-ระบบชี่เลือดไม่ไหลเวียนดี → กระตุ้นภาวะเลือดคั่ง + ความชื้นเกาะ → กลายเป็นแคลเซียมเกาะ

7. ผู้ที่มีภาวะเลือดคั่ง–ความชื้นในร่างกายสูง (湿重血瘀体质)

🔍 ทำไมเสี่ยง?
-เป็นพื้นฐานที่พบในคนอ้วน เหนื่อยง่าย หนักตัว บวมง่าย
-ร่างกายเคลื่อนไหวไม่คล่อง ระบบกำจัดของเสียอ่อนแรง
-ในแพทย์จีน: ความชื้นและเลือดคั่งทำให้เกิด “痰瘀互结” → สะสมเป็นก้อนแข็ง กระดูกงอก หรือแคลเซียมเกาะ

****

📚แพทย์จีนรักษากระดูกงอก–แคลเซียมเกาะอย่างไร?

“รักษาทั้งรากเหตุภายใน และอาการภายนอก”

🔬แนวคิดหลักในการวินิจฉัย

แพทย์จีนไม่มองแค่จุดที่มีกระดูกงอกหรือแคลเซียมเกาะ แต่จะวิเคราะห์ลึกไปถึง “สมดุลภายในของร่างกาย” เช่น
- ไตพร่อง → 骨失濡养 (กระดูกขาดการหล่อเลี้ยง)
- ตับติดขัด → 筋脉拘急 (เส้นเอ็นตึง ดึงข้อผิดแนว)
- ชี่ติด–เลือดคั่ง → 气滞血瘀 (ทำให้เลือดติดค้างสะสม)
- เสมหะ–ความชื้นสะสม → 痰湿凝结 (แคลเซียมเกาะข้อเป็นก้อนแข็ง)

🔶 แนวทางการรักษา
แพทย์จีนจะ “รักษาองค์รวม” ตามหลักการต่อไปนี้:

1️⃣ 疏通经络 – เปิดเส้นลมปราณ ลดอาการอุดตัน

📍 หัตถการที่ใช้:
-ฝังเข็ม (针灸) → กระตุ้นจุดที่เกี่ยวข้องกับข้อต่อ ไต ตับ เลือด และจุดเฉพาะที่มีการอักเสบ
-ทุยหน่า (推拿) → คลายเส้น คลายกล้ามเนื้อที่ดึงข้อ
-ครอบแก้ว (拔罐) → ดูดเลือดคั่ง เส้นตึง ความชื้นสะสม
-อาจเสริมด้วยเข็มอุ่น (温针) หรือเข็มไฟฟ้า (电针) ในรายที่มีข้อยึดหรือติดมาก

📍 จุดฝังเข็มที่นิยมใช้:
-阿是穴 (จุดที่ปวดตรง ๆ)
-肾俞、命门、委中、阳陵泉、足三里、太冲
-บางกรณี ใช้董氏奇穴 เช่น 大白、灵骨、正宗、开宫

2️⃣ 补肾强骨 – บำรุงไต เสริมกระดูก

📍 แนวทางสมุนไพร:ใช้ยาจีนที่มีสรรพคุณบำรุงไต เสริมไขกระดูก เช่น
杜仲(ตู้จ้ง) 续断(สวี้ต้วน) 骨碎补(กู่สุ่ยปู่)
巴戟天(ปาจี้เทียน)淫羊藿(หยินหยางฮั่ว)

✳️ สูตรที่ใช้บ่อย: 骨刺丸、六味地黄丸 ปรับตามอาการ

3️⃣ 活血化瘀 – กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ละลายเลือดคั่ง

📍 แนวทางสมุนไพร:ใช้สมุนไพรขับเลือดคั่ง เช่น
丹参(ตานเสิน) 川芎(ชวนซยง)红花(หงฮวา)
乳香、没药(หรู่เซียง ม่อเย่า)

✳️ ช่วยลดปวด ลดการบวมอักเสบ และเร่งสลายก้อนแข็งบริเวณข้อ

4️⃣ 祛痰利湿 – ขับเสมหะ–ความชื้น ลดการตกตะกอนแคลเซียม

📍 แนวทางสมุนไพร:สมุนไพรละลายเสมหะและความชื้น เช่น 苍术(ชางจู๋)茯苓(ฝูหลิง)泽泻(เจ๋อเซี่ย)
薏苡仁(อี้อี่เหริน) 黄柏(หวงไป๋)

✳️ เหมาะกับผู้ที่มีลักษณะตัวบวม หนัก ล้า มีเสมหะในข้อหรือไขมันเกาะ

5️⃣ 调肝理筋 – ปรับพลังตับ คลายเส้นตึง ลดแรงดึงกระดูก

📍 แนวทางสมุนไพร:ใช้สมุนไพรผ่อนตับ คลายเส้นเอ็น เช่น
柴胡(ไช่หู) 白芍(ไป๋สาว)天麻(เทียนหมา)
钩藤(โกวเถิง)

✳️ เน้นในคนที่มีอาการเกร็ง คอตึง หลังแข็ง เครียดง่าย

🧩 การปรับสมดุลวิถีชีวิต

แพทย์จีนจะเน้นให้คนไข้ปรับพฤติกรรมควบคู่ เช่น
- ลดอาหารเย็นจัด เค็มจัด ไขมันสูง
- ดื่มน้ำอุณหภูมิห้องสม่ำเสมอ
- เคลื่อนไหวร่างกายแบบพอดี เช่น ชี่กง โยคะแบบจีน
- นอนหลับพักผ่อนตรงเวลา
- ฝึกหายใจ–สมาธิเพื่อปรับพลังตับ

📍ดังนั้นกระดูกงอก–แคลเซียมเกาะ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคร้ายนะครับ แต่มันคือผลจากการใช้งานที่ผิดซ้ำ ๆ บวกกับระบบภายในที่เริ่มติดขัดหรือเสื่อมลงโดยไม่รู้ตัว

ในมุมแพทย์จีน หมอจีนจะไม่ได้มองแค่จุดที่มีปัญหา
แต่จะดูทั้งร่างกายว่าไตอ่อนแอหรือไม่ ชี่ตับตึงตึดขัดหรือเปล่า เลือดไหลเวียนดีไหม เส้นเอ็นเกร็งเรื้อรังหรือเปล่า
แล้วจึงค่อยปรับสมดุลผ่านการฝังเข็ม สมุนไพร และปรับพฤติกรรมนะครับ

สำหรับหมอแมนจะเตือนคนไข้เสมอว่ากระดูกงอกเกิดเพราะเมื่อร่างกายเริ่มซ่อมตัวเองผิดทาง หน้าที่ของเราในฐานะเจ้าของร่างกาย…ไม่ใช่หาหมอเพื่อแค่ “รักษา”
แต่ต้อง “ฟื้นฟูให้มันกลับมาซ่อมได้ถูกต้องอีกครั้ง”ครับ✨

#กระดูกงอกแคลเซียมเกาะ
#ปวดคอปวดหลังอย่าชะล่าใจ
#หมอแมนแพทย์จีน

ที่อยู่

49/68 หมู่บ้านสิริญญาสมาร์ทซิตี้ หมู่6 ต. ต้นโพธิ์, อ. เมือง, สิงห์บุรี
Sing Buri
16000

เวลาทำการ

เสาร์ 10:00 - 16:00
อาทิตย์ 09:00 - 15:00

เบอร์โทรศัพท์

+66982326959

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ฝังเข็ม ยาจีน สิงห์บุรี De Orange TCM เดอ ออเรนจ์ ทีซีเอ็มผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram
); }) .always(function() { gettingMore = false; }); } map._clearMarkers = function() { markersLayer.clearLayers(); } }); }, 4000); });