04/08/2025
EP67 ** โซเดียมกับภาวะไตเสื่อม 🪦
💀เราไม่ตระหนักหรือเพราะไตเราไม่สำคัญพอ
สวัสดีครับ วันนี้หมออยากชวนทุกคนคุยเรื่อง “ภาวะไตเสื่อม”จากสถิติล่าสุด คนเป็นโรคไตในประเทศไทย มีแนวโน้มอายุน้อยลงเรื่อย ๆ และที่น่าตกใจคือ จำนวนผู้ป่วยที่ต้องฟอกไตก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี
📍 แล้วต้นตอที่สำคัญอยู่ไหนรู้ไหมครับ?
อยู่ที่ ของกินของใช้ในชีวิตประจำวันเรานี่แหละ!
อาหาร เครื่องดื่ม เครื่องปรุง สิ่งที่เราทานกันทุกวันโดยไม่รู้เลยว่า มันกำลังทำร้ายไตเราแบบเงียบ ๆ
🩺 ประสบการณ์ตรงจากคลินิกในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
หมอได้เจอคนไข้ไตเสื่อมหลายรายครับ
บางคนอายุเยอะแล้ว ซึ่งพอเข้าใจกันได้
แต่บางคน…อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหมอเลยครับ
หลายรายมีอาการเหมือนกันคือ
- ตรวจพบโปรตีนรั่วในปัสสาวะ
- บวมน้ำ อ่อนเพลีย ปัสสาวะบ่อยโดยไม่รู้สาเหตุ
- และที่น่ากังวลคือ ค่า eGFR หรือค่าการกรองของไต ต่ำกว่ามาตรฐาน
แต่สิ่งที่เหมือนกันเกือบทุกคนคือ
➡️ ชอบทานอาหารสำเร็จรูป
➡️ ไม่รู้ว่าอาหารที่ไม่เค็ม…ก็ยังมีโซเดียมแฝง
อย่างคุณยายรายหนึ่งที่มีปัญหาไตเสื่อมเดิม ชอบทานโจ๊กสำเร็จรูปในตอนเช้ามาก เพราะรู้สึกว่าเป็นอาหารที่ทานง่าย รสชาติไม่จัด แค่ใส่ไข่ เติมน้ำร้อน ก็สามารถทานได้แล้ว แต่รู้ไหมครับว่า โจ๊กสำเร็จรูปหนึ่งถ้วยนั้น มีปริมาณโซเดียมสูงถึง 1,200–1,500 มิลลิกรัม เลยทีเดียว! แค่หนึ่งมื้อก็เกือบเทียบเท่าปริมาณโซเดียมที่ร่างกายของคนทั่วไปควรได้รับในหนึ่งวันแล้วครับ นอกจากนี้ คุณยายยังชอบทานอาหารที่ดูเหมือนจะ “คลีน” อย่างก๋วยเตี๋ยว แต่ก็มักจะซดน้ำซุปจนหมด เพราะรู้สึกว่าคล่องคอดี อันนี้หนักไปใหญ่เลยครับ เพราะน้ำซุปมักมีทั้งซีอิ๊ว ผงปรุงรส เกลือ และน้ำปลาอยู่ด้วยกันครบโซเดียมมาเต็ม
ซึ่งไตเป็นอวัยวะที่เงียบครับ มันไม่แสดงอาการชัดเจนเหมือนอวัยวะอื่น
พอรู้ตัวอีกที…ก็มักจะเข้าสู่ “ระยะเสื่อม” ไปแล้วและเมื่อถึงจุดที่ต้องฟอกไต ชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยครับ
แต่อีกรายนึง แม้จะอายุ 40 ต้นๆ มาด้วยอาการ ปัสสาวะเป็นฟอง อ่อนเพลียไม่มีแรงแม้จะพักผ่อนอย่างเต็มที่ก็ตามเมื่อไปตรวจร่างกาย พบค่า eGFR ต่ำกว่า 50 เมื่อสอบถามพฤติกรรมพบว่าเป็นพ่อค้าขายส้มตำ ในทุกๆวันต้องทานส้มตำชิมส้มตำให้กับลูกค้าเป็นประจำ นอกจากนั้นยังชอบทานอาหารเสริมหลายประเภทต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานานรวมถึงทานยาแก้ปวดอย่างต่อเนื่องอีกด้วย  ประกอบกับเป็นคนขยันทำงานเวลาพักผ่อนน้อยยิ่งทำให้ร่างกายอ่อนแออย่างหนัก
จะเห็นได้ว่าคนไข้ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางด้านอาหาร ทั้งสารปรุงรส ผงชูรส อาหารสำเร็จรูป รวมถึงอาหารเสริมและยาแก้ปวดยารักษาโรค  โดยรับประทานต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน
📍 วันนี้เราจะมาพูดถึงในมุมมองของอาหาร เรามารู้จักกันดีกว่าครับว่า “โซเดียม” คืออะไร ทำไมมีในอาหาร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับไต?
โซเดียมคือแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่ร่างกายต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม
มันมีหน้าที่สำคัญ เช่น
– ช่วยควบคุมสมดุลน้ำในร่างกาย
– ช่วยการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
– รักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ
แต่ถ้าเรารับโซเดียมมากเกินไปทุกวันไตก็จะต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อขับออกจากร่างกาย ยิ่งรับมาก ไตก็ยิ่งเหนื่อย และนานวันเข้า ไตก็เริ่มเสื่อมโดยที่เราไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัวอย่างความดันสูง หรือเบาหวานการบริโภคโซเดียมมากเกินไป เป็นหนึ่งในตัวเร่งให้เข้าสู่ “โรคไตเรื้อรัง” ได้เร็วขึ้น
🌐องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า คนทั่วไปไม่ควรรับโซเดียมเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน
เทียบง่าย ๆ ก็ประมาณ “เกลือหนึ่งช้อนชา” เท่านั้นเอง
แล้วถ้าโซเดียมในร่างกายเราสูงเกินจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
✍🏻อย่างแรกเลยคือ “บวมน้ำ”
เมื่อร่างกายมีโซเดียมมากเกินไป
มันจะดึงน้ำไว้ในเนื้อเยื่อ ทำให้รู้สึกบวม
บางคนรู้สึกว่าหน้าบวม ขาบวม รองเท้าคับ ใส่แหวนแล้วแน่น
หรือแม้แต่ตื่นเช้ามาตาก็บวม
✍🏻อย่างที่สองคือ “ความดันโลหิตสูง”
โซเดียมจะทำให้ปริมาณเลือดในร่างกายเพิ่มขึ้น
เลือดไหลแรงขึ้น หลอดเลือดก็ต้องต้านมากขึ้น
สุดท้ายความดันก็สูงขึ้นแบบไม่รู้ตัว
และความดันสูงนี่แหละครับ…คือต้นเหตุของโรคไตเรื้อรังในระยะยาว
✍🏻อย่างที่สามคือ “ไตเสื่อม”
เมื่อไตต้องทำงานหนักเพื่อกรองโซเดียมออก
นานวันเข้าเซลล์ไตก็จะเหนื่อย อ่อนแรง
ความสามารถในการกรองของเสียลดลง โปรตีนรั่วทางปัสสาวะ
และอาจพัฒนาไปสู่ “ไตวายเรื้อรัง” ที่ต้องฟอกไตในที่สุด
นี่ยังไม่นับรวมถึงปัญหาหัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรืออาการปวดศีรษะที่พบในบางคนเมื่อโซเดียมสูงมาก ๆ
💀หมอขอยกตัวอย่างอาหารใกล้ตัว ที่มีปริมาณโซเดียมสูง เพื่อให้ทุกท่านสังเกตและปรับเปลี่ยนกันได้นะครับ
อยากให้ทุกคนลองดูตัวอย่างเหล่านี้นะครับ
✅โจ๊กซองสำเร็จรูป 1 ถ้วย 1,200–1,500 มิลลิกรัม
✅บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 1 ห่อ 1,500–1,800 มิลลิกรัม
✅ก๋วยเตี๋ยวเรือ 1 ชาม พร้อมน้ำซุปื 1,000–1,400 มิลลิกรัม
✅ปลากระป๋อง 1 กระป๋อง 700–1,000 มิลลิกรัม
✅ไส้กรอก/ลูกชิ้น/แฮม 1 ชิ้น 500–800 มิลลิกรัม
✅น้ำจิ้มซีฟู้ด 1 ถ้วยเล็ก (2 ช้อนโต๊ะ) 600–800 มิลลิกรัม
✅ขนม เช่น มันฝรั่งทอด 1 ถุงเล็ก400–600 มิลลิกรัม
✅น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ 1,300–1,500 มิลลิกรัม
✅น้ำปลาร้า 1 ช้อนโต๊ะ 1500 - 1800 มิลลิกรัม
ลองคิดดูแล้วกันครับว่าันๆเราทานอาหารพวกนี้บ้างรึเปล่า
แล้วปีๆนึงเราตรวจค่าการทำงานของไตกันบ้างมั้ย
🍃แพทย์จีนรักษาไตเสื่อมได้มั้ย? ขับโซเดียมได้หรือเปล่า?
👉อาการไตเสื่อม จะสะท้อนถึงความสามารถในการขับโซเดียมออกจากร่างกายจะลดลง โซเดียมที่สะสมในร่างกายจะดึงน้ำไว้ในเนื้อเยื่อทำให้เกิดอาการบวมน้ำ หายใจเหนื่อย ความดันสูงและอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เข้าสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวหรือไตวายเร็วขึ้นครับ
📚ในมุมมองการแพทย์แผนจีนแม้จะไม่มีคำว่าโซเดียมแต่มีแนวคิดในการดูแลสมดุล
ของเหลว ความชื้น อิน และหยาง
อย่างโซเดียมที่มากเกินในร่างกาย จะแสดงออกมาในลักษณะของ
– น้ำคั่งในช่องต่าง ๆ (湿、痰饮、水肿)
– อวัยวะปอด ม้าม ไต เสียสมดุล
– ปัสสาวะน้อย บวม แน่น หายใจไม่สะดวก
– หยางพร่อง–ไตพร่อง ทำให้ขับของเสียไม่ออก
ดังนั้นแนวทางของแพทย์จีนในการขับโซเดียมจึงมุ่งเน้นไปที่ 3 แนวทางหลัก ได้แก่
1. 利水消肿 (ขับน้ำ–ลดบวม)
เหมาะกับคนไข้ที่มีภาวะบวมน้ำ ปัสสาวะน้อย
ใช้ยาสมุนไพรที่กระตุ้นการขับปัสสาวะ เช่น
茯苓 (ฝูหลิง) 猪苓 (จูหลิง) 泽泻 (เจ๋อเซี่ย)车前子 (เชอเฉียนจื่อ)
กลุ่มนี้ช่วยขับน้ำโดยไม่ทำลายพลังหยางของร่างกาย
ซึ่งต่างจากยาขับปัสสาวะแบบแผนปัจจุบันที่อาจทำให้เสียโพแทสเซียมหรืออ่อนแรงได้ง่าย
2. 健脾化湿 (เสริมม้าม–ขับความชื้น)
หากพิจารณาตามศาสตร์จีน “ม้าม” คืออวัยวะที่ควบคุมน้ำในร่างกาย
เมื่อม้ามอ่อนแอ น้ำจะคั่ง เกลือจะแฝง
จึงมักใช้สมุนไพรช่วยเสริมม้าม เช่น
白术 (ไป๋จู๋) 茯苓 (ฝูหลิง) 陈皮 (เฉินผี)扁豆 (เปี้ยนโต่ว)
เหมาะกับคนไข้ที่กินอาหารไม่ย่อย อ่อนเพลีย ขาเย็น ท้องอืดร่วมด้วย
3. 温阳利水 (อุ่นหยาง–ขับน้ำ)
ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะท้าย ตามศาสตร์จีนมักพบ “หยางพร่อง”
ทำให้ระบบเผาผลาญช้า ขับน้ำได้น้อย
จึงใช้ยาที่มีฤทธิ์อุ่นไต เช่น
附子 (ฝู่จื่อ) 肉桂 (โหร่วกุ้ย)干姜 (กันเจียง)
กลุ่มนี้ช่วยกระตุ้นพลังของไตให้กลับมาขับน้ำได้อีกครั้ง
ใช้ในรายที่บวมทั้งตัว หนาวง่าย เหงื่อเย็น มือเท้าเย็น
👀โดยหมอจีนจะประเมินลิ้น ชีพจร และอาการประกอบกันเสมอ เพื่อเลือกวิธีขับโซเดียมที่เหมาะสมที่สุดกับ “สมดุลของคนไข้แต่ละคน” ไม่ใช่ทุกคนที่บวมจะใช้วิธีเดียวกันหมด และต้องผ่านการวินิจฉัยว่าอวัยวะใดเสียสมดุลบ้าง
✍🏻ฝังเข็ม
📍และในกรณีที่ผู้ป่วยมีค่า eGFR ต่ำมาก หรืออยู่ในระยะที่จำเป็นต้องฟอกไตแล้วแพทย์แผนจีนจะใช้แนวทางรักษาอย่างระมัดระวัง โดย ลดการใช้ยาสมุนไพรที่ไม่จำเป็นลง
เนื่องจากในภาวะที่ไตมีการทำงานลดลงอย่างมาก การขับสารต่าง ๆ ออกจากร่างกายจะลดลงด้วย จึงมีความเสี่ยงที่ตัวยาบางชนิดจะสะสมในร่างกายมากกว่าปกติ
✅แนวทางที่แพทย์จีนเลือกใช้ในระยะนี้คือ เน้นการฝังเข็มเพื่อปรับสมดุลและส่งเสริมกลไกของไตให้ดีขึ้น เช่น กระตุ้นการไหลเวียนของพลังชี่และเลือด บำรุงไตเสริมหยาง บำรุงอินของไต ลดภาวะบวมน้ำ อ่อนแรง หรือการคั่งของของเสียที่อาจเกิดจากพลังไตพร่อง
✅การฝังเข็มในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังจึงเป็นแนวทางที่ปลอดภัยกว่าในระยะที่การทำงานของไตลดลงมาก
โดยเฉพาะเมื่อใช้ควบคู่กับการแพทย์แผนปัจจุบันในการฟอกไตหรือควบคุมอาการร่วมอื่น
🔬วิธีประเมินความเสี่ยงโรคไต
มุมมองแพทย์แผนปัจจุบัน + แพทย์แผนจีน
1. การประเมินความเสี่ยงตามแพทย์แผนปัจจุบัน
✅ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคไต
มีโรคประจำตัว: เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
• มีประวัติโรคไตในครอบครัว
• มีอายุมากกว่า 60 ปี
• น้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน
• สูบบุหรี่ หรือใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เป็นประจำ
• รับประทานอาหารเค็ม หรือแปรรูปเป็นประจำ
• ดื่มน้ำน้อย หรือมีภาวะขาดน้ำเรื้อรัง
🧪 การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
• ค่า eGFR (estimated Glomerular Filtration Rate):ใช้ประเมินการทำงานของไต โดยค่าปกติควรมากกว่า 90 ml/min ค่าต่ำกว่า 60 ติดต่อกันเกิน 3 เดือน = เข้าข่ายโรคไตเรื้อรัง
• ตรวจปัสสาวะหาค่าโปรตีน (Proteinuria / Albuminuria):ถ้ามีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ แสดงว่าเยื่อกรองของไตเริ่มผิดปกติ
• ตรวจค่า Creatinine และ BUN:
บ่งบอกถึงการคั่งของของเสียในร่างกายจากการทำงานของไตบกพร่อง
2. การประเมินความเสี่ยงจากมุมมองแพทย์แผนจีน
แพทย์จีนจะประเมินจากองค์ประกอบของ “ไต” ที่เชื่อมโยงกับระบบพลังชีวิตทั้งหมด
รวมถึงสมดุล หยิน–หยาง, การเคลื่อนไหวของ “ชี่” และการคั่งของความชื้นในร่างกาย
🚫สัญญาณเตือนตามศาสตร์แพทย์จีน
• ปวดเมื่อยหลังช่วงเอวหรือเข่าเรื้อรัง
• ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน / ปัสสาวะขัด / สีเข้มจัด
• เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรัง แม้นอนพอ
• หน้าหมอง ซีด มือเท้าเย็น
• ลิ้นซีดมีรอยฟัน หรือบวมชื้น
• ชีพจรลึก อ่อน หรือจม
กลุ่มพลังที่มักผิดปกติในผู้เสี่ยงโรคไต
👉ไตหยินพร่อง (อ่อนเพลีย ร้อนฝ่ามือ เหงื่อออกกลางคืน)
👉ไตหยางพร่อง (หนาวง่าย ขาเย็น บวม ปัสสาวะบ่อยใส)
👉ชี่ไตพร่อง (เหนื่อยง่าย เสียงอ่อน เบื่ออาหาร)
👉การคั่งของความชื้นและเสมหะ (บวมน้ำ ท้องอืด หนักตัว)
เห็นไหมครับว่า โซเดียม และ ภาวะไตเสื่อม ดีน่ากลัวกว่าที่คิด ระวังตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ นะครับอย่าปล่อยให้ถึงวันที่สาย
เพราะ “ไตของเรา…มีแค่คู่เดียว”และเมื่อมันพังไปแล้ว มันจะไม่เหมือนเดิมอีกเลย
ดูแลไตวันนี้ จะได้ไม่ต้องฟอกไต
หมอเป็นครับ จากคนประสบการณ์ตรงที่ดูแลคนไข้โรคไต
#หมอแมนแพทย์จีน
#โซเดียม
#ภาวะไตเสื่อมในมุมมองแพทย์จีน