หมอหยิน สุธาสินีคลินิกการแพทย์แผนไทย สุราษฎร์ธานี

หมอหยิน สุธาสินีคลินิกการแพทย์แผนไทย สุราษฎร์ธานี ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก หมอหยิน สุธาสินีคลินิกการแพทย์แผนไทย สุราษฎร์ธานี, การแพทย์และสุขภาพ, สุธาสินีคลินิกการแพทย์แผนไทย สุราษฎร์ธานี, Surat Thani.

ฆสพ.สฎ. ๓๐/๒๕๖๓
เลขที่ใบอนุญาตคลินิก : 84108000363
การแพทย์แผนไทย / Traditional Thai Medicine
Herb • Health • Healing • Massage 🍃
จองคิวก่อนเข้ารับบริการ / ไม่รับCase Walk in
พท.สุธาสินี เธียรปรีชา พท.ว.23307

31/10/2025

วันนี้มีคิวว่างหลุด
13.30 น./14.00 น.
14.30 น./15.30 น./16.30 น.
สนใจทักinboxด่วนค่ะ

30/10/2025

วันนี้คิวเต็มแล้วค่ะ

24/10/2025

คนไข้ที่จองคิวไว้หากไม่สะดวกมาหรือต้องการยกเลิกรบกวนแจ้งทักมาแจ้งด้วยนะคะ ทางคลินิกจะได้ให้คิวท่านอื่น แต่หากจองแล้วไม่มา/หาย/ไม่ตอบ ขออนุญาตไม่รับจองแล้วค่ะ
🙏🏻✨

23/10/2025

นวดแล้วเรอ...หมายความว่าอะไร?
“นวดแล้วเผลอเรอออกมา” เป็นเรื่องปกติหรือไม่? เสียมารยาทไหม? หรือเป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังดีขึ้น?

ก้อนเมฆขอเตือนว่าอาจจะยาวหน่อยแต่มันคือประโยชน์ของผู้นวด และผู้ถูกนวดซึ่งก้อนเมฆอยากถ่ายทอดให้☁️✨😊

หลายคนที่เคยไปนวดแผนไทยหรือสปา อาจเคยมีประสบการณ์ “นวดแล้วเรอ” หรือ “ผายลม” ออกมาโดยไม่ตั้งใจ จนรู้สึกเขินหรือสงสัยว่านี่คืออาการผิดปกติหรือเปล่า จริง ๆ แล้วปรากฏการณ์นี้ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติเลยค่ะ ตรงกันข้าม นี่คือสัญญาณที่ดีว่า ร่างกายกำลังตอบสนองต่อการนวด และเริ่ม “ปรับสมดุลลม” อย่างเป็นธรรมชาติ

มุมมองแพทย์แผนไทย: “เรอ” คือการระบายลมที่คั่งค้างในอวัยวะ ที่เราเรียกว่าลมเกินจากอวัยวะ

ในศาสตร์ของแพทย์แผนไทย ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วย ธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ (อากาศธาตุ) โดย "ลม" มีบทบาทสำคัญมาก เพราะเป็นพลังงานที่ควบคุมการเคลื่อนไหวทั้งหมดของร่างกาย เช่น การหายใจ ย่อยอาหาร เคลื่อนไหว ตลอดจนการพูด
ภายในร่างกายยังมีสิ่งที่เรียกว่า “เส้นประธานสิบ” เป็นเส้นทางการไหลของ “ลม” ซึ่งถ้าเส้นทางเหล่านี้ ถูกอุดกั้น เช่น กล้ามเนื้อตึง หรือมีพังผืดสะสม อาหารไม่ย่อย ความเครียดจากการทำงาน →เกิดภาวะ “ลมคั่ง” ส่งผลให้มีอาการปวดเมื่อย แน่น จุกเสียด หรือเวียนศีรษะ

👉 การนวดและการกดจุด จึงเป็นการเปิดทางเดินลมในร่างกาย เมื่อเส้นลมเปิด → ลมเคลื่อนสะดวก → ลมส่วนเกินถูกระบายออก → แสดงออกมาในรูปแบบของ “การเรอ” หรือ “ผายลม”

“ลมอุทธังคมาวาตา” – ลมที่ทำให้เกิดการเรอ
ในตำราแพทย์แผนไทย ลมที่เกี่ยวข้องกับการเรอโดยตรงคือ
-เป็นลมที่ “พัดขึ้นบน” จากช่องท้อง → ผ่านกระเพาะ → ไปยังหลอดอาหาร → ออกทางปาก
ลมชนิดนี้มีหน้าที่ควบคุมการ:
-หายใจ-เรอ-อาเจียน-ไอ-การเปล่งเสียง

👉 เมื่อมีการนวดเปิดเส้น → ลมอุทธังคมาวาตาเคลื่อนขึ้นสะดวก → จึงเกิดการเรอออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งแสดงว่า “ลมเคลื่อนดีขึ้น ร่างกายกำลังปรับเข้าสู่สมดุล”

🌱 หลักการพื้นฐานของแพทย์แผนไทยอธิบายหลักการนวดไว้ว่า
เมื่อดินคลาย → ลมจะเคลื่อน → ไฟจะกระจาย → น้ำไหลเวียนได้ดี
เมื่อกล้ามเนื้อ (ดิน) คลายตัวจากการนวด → ลมเคลื่อนได้ดีขึ้น → ระบบย่อย (ไฟ) ทำงานดีขึ้น → การไหลเวียนเลือดและของเหลว (น้ำ) สมดุล → ร่างกายแข็งแรงขึ้น

ซึ่งนอกจากการนวดจะช่วยประสมดุลแล้วยังมีตัวเอกที่สามารถปรับปราณลมที่หลายคนยังไม่ทราบ นั่นคือ!

น้ำมันหอมระเหย//ผู้ช่วยที่สามารถทำให้สมดุลธาตุลมคืนเจ้าเรือนเดิมได้ดีมากยิ่งขึ้น
→ ช่วย “เปิดเส้นลม” เคลื่อนลมให้เดินสะดวก → ร่างกายจึงเรอหรือผายลมได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้แผนของการรักษาจะปรับตามการวินิจฉัยของแพทย์แผนไทย เช่น
-การกินยาสมุนไพร:ปรับธาตุ(สุขุม ร้อน กลุ่มยาหอม)
-หัตถการ:(นวด ย่างยา นาบหม้อเกลือ รมยา อบสมุนไพร เผายา)เพื่อให้ธาตุทั้ง4 กลับคืนอย่างบริบูรณ์

🔬 ในมุมวิทยาศาสตร์:
การสูดดมกลิ่นหอม → กระตุ้นสมองส่วน Limbic system → ผ่อนคลาย ลดความเครียด → กระตุ้นระบบพาราซิมพาเทติก (ระบบย่อยอาหาร)
การซึมผ่านผิวหนัง → สารสำคัญ เช่น Menthol, Gingerol, Limonene → ช่วยคลายกล้ามเนื้อเรียบของระบบทางเดินอาหาร → แก๊สเคลื่อนตัวได้ง่ายขึ้น

🌼 ตัวอย่างน้ำมันยอดนิยม:
เปปเปอร์มินต์ → ลดท้องอืด ขับลม
ขิง → เพิ่มความอบอุ่น กระตุ้นระบบย่อย
เลมอน / ส้ม → สดชื่น ลดความเครียด
ยูคาลิปตัส → เปิดทางเดินลม หายใจโล่ง

แพทย์แผนปัจจุบัน: “การเรอ” คือกลไกทางร่างกายที่ปกติ
เมื่อมีการนวด ร่างกายจะเข้าสู่ โหมดผ่อนคลาย (Parasympathetic Mode)
ซึ่งเป็นระบบประสาทที่ควบคุมการย่อยอาหารและการพักผ่อน
ส่งผลให้:
กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหาร “คลายตัว”
กระเพาะและลำไส้ “บีบตัวดีขึ้น”
แก๊สหรือก๊าซในกระเพาะถูกระบายออกทางปาก = เรอ

➡️ ดังนั้น “การเรอ” จึงเป็น กลไกปกติของร่างกาย ที่ช่วยระบายแรงดันในกระเพาะ และยังเป็นสัญญาณว่า “ระบบย่อยอาหารกำลังทำงานได้ดี”

❗️ข้อควรระวัง:
หากมีอาการเรอร่วมกับ เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน → ควรแจ้งแพทย์แผนไทยทันที

ทั้งนี้“การเรอ” จากการนวด ไม่ใช่เรื่องน่าอาย และไม่ใช่อาการผิดปกติแต่นี่คือ สัญญาณว่าร่างกายของคุณกำลังปลดปล่อยลมส่วนเกิน และกำลังกลับสู่สมดุลที่ดีขึ้น

22/10/2025

[Research Talk] เปิดผลการศึกษาประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาหอมนวโกฐและยาศุขไสยาศน์ในการรักษาอาการนอนไม่หลับ

การแพทย์แผนไทยได้ใช้ยาสมุนไพรในการรักษาอาการนอนไม่หลับมานาน แต่มีการศึกษาทางคลินิกเกี่ยวกับประสิทธิผลและความปลอดภัยของ ยาหอมนวโกฐ (Yahom-Navakot) และยาศุขไสยาศน์ (Suk-Sai-Yat) อย่างจำกัด

วัตถุประสงค์
เพื่อประเมินประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาหอมนวโกฐและยาศุขไสยาศน์ในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการนอนไม่หลับ

การออกแบบและกลุ่มผู้เข้าร่วม
✅ การออกแบบ: การวิจัยทางคลินิกแบบสุ่ม มีกลุ่มควบคุมและปกปิดสองทาง (Randomised, double-blind)
✅ สถานที่: คลินิกการแพทย์แผนไทย
✅ ผู้เข้าร่วม: ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการนอนไม่หลับ 58 คน
✅ การรักษา: แบ่งกลุ่มให้ได้รับ ยาหอมนวโกฐ หรือ ยาศุขไสยาศน์ ขนาด 1,000 มิลลิกรัม วันละครั้งก่อนนอน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ และติดตามผลต่ออีก 2 สัปดาห์

ตัวชี้วัดหลัก
มีการประเมินคุณภาพการนอนหลับ ความง่วง และคุณภาพชีวิต โดยใช้เครื่องมือวัดดังนี้:
✅ คุณภาพการนอนหลับ: Pittsburgh Sleep Quality Index (PSQI)
✅ ความง่วง: Epworth Sleepiness Scale (ESS)
✅ คุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ: Health-Related Quality of Life Measure (EQ-5D)
✅ มีการบันทึกอาการไม่พึงประสงค์ (Adverse drug responses) ด้วย

ผลการศึกษา
✅ ประสิทธิผลเทียบระหว่างกลุ่ม: หลังจากการรักษาไปแล้ว 1 และ 2 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่ได้รับ ยาหอมนวโกฐ มีค่าคะแนน PSQI, ESS, และ EQ-5D ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p

นัดคิวไว้แล้ว จะขอยกเลิกให้แจ้งก่อนค่ะ
21/10/2025

นัดคิวไว้แล้ว จะขอยกเลิกให้แจ้งก่อนค่ะ

💣 สรุปดราม่า "บัตรทอง/สปสช.” — เรื่องใหญ่ที่คนไทยยังไม่รู้ตัว

ตอนนี้…
🏥 โรงพยาบาลทั่วประเทศกำลังขาดทุน
👩‍⚕️ หมอ–พยาบาลใน รพ.รัฐ ทำงานหนักแต่ไม่ได้รับเงิน
❗️และที่น่ากังวลที่สุด — ประชาชนกำลังจะไม่มีที่รักษา

ทั้งหมดนี้ เริ่มต้นจากหน่วยงานที่ชื่อว่า
"สปสช. (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ)"
หรือที่คนคุ้นกันในชื่อ "ระบบบัตรทอง"

วันนี้จะพาอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ฉบับที่คนไม่มีพื้นฐานก็เข้าใจได้

เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องของหมอ
แต่คือ เรื่องของคนไทยเกือบทั้งประเทศ ที่พึ่งพาระบบนี้อยู่ทุกวัน 🩺

==================
🔴 บัตรทองคืออะไร? สปสช.คือใคร?
🔴 ปัญหาหลักของระบบตอนนี้
🔴 แล้วโรงพยาบาลได้เงินจากสปสช.ยังไง?
🔴 ยังไม่จบ… “กฎ 3%” ที่เอาเปรียบสุดๆ
🔴 โรงพยาบาลรัฐ “ขาดทุน-ติดลบ” หนักขึ้นทุกไตรมาส
🔴 หมอ-พยาบาล ทำงานแล้วไม่ได้เงิน
🔴 แล้วประชาชนล่ะ? ได้รับผลกระทบไหม?
🔴 ตัวอย่างชัดๆ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โดนเล่นงานจาก “การเปลี่ยนกติกาย้อนหลัง”!
🔴 คำพูดสวยหรูของสปสช. = ฉากบังหน้า
==================

🔴 บัตรทองคืออะไร? สปสช.คือใคร?

1.บัตรทอง คือสิทธิรักษาฟรีสำหรับคนไทยประมาณ 48 ล้านคน
หรือ >70% ของประชากรทั้งประเทศ
(คนที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ และไม่ได้อยู่ในประกันสังคม)

2.เงินทั้งหมดที่ใช้ดูแลระบบบัตรทองนี้ มาจากภาษีของประชาชน
รวมแล้วมากกว่า 200,000 ล้านบาทต่อปี

เงินก้อนนี้… ไม่ได้ไปที่โรงพยาบาลโดยตรง
แต่ส่งไปให้ "สปสช." เป็นคนถือเงินไว้
และเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะจ่ายให้โรงพยาบาลเท่าไรและเมื่อไหร่

3.สรุปง่ายๆ คือ
โรงพยาบาล = คนทำงานจริง รักษาคนไข้จริง ใช้ของจริงๆ
สปสช. = คนถือกระเป๋าเงินใบใหญ่ ค่อยทยอยจ่ายให้ทีหลัง
จะเร็ว จะช้า จะให้ครบหรือไม่ก็แล้วแต่เขา
และปัญหาทั้งหมด… ก็กำลังเริ่มต้นจากตรงนี้

——————

🔴 ปัญหาหลักของระบบตอนนี้

4.โรงพยาบาลทุกแห่งในระบบบัตรทองต้องทำหน้าที่ออกเงิน “รักษาคนไข้ไปก่อน”
ทั้งค่ายา ค่าหัตถการ เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์การแพทย์ทุกอย่าง
แล้วค่อยไป “เบิกเงินคืนทีหลัง” จากสปสช.

แต่สิ่งที่โรงพยาบาลเจอซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือ
• 💸 ได้เงินช้า
• 💸 ได้ไม่ครบ
• 💸 บางครั้งโดนเปลี่ยนกฎกติกากลางทาง แล้วโดนเรียกเงินคืน

5.ลองนึกภาพตามง่ายๆ

มีเพื่อนมาบอกคุณว่า
“ช่วยไปซื้อข้าวกล่องให้หน่อย เดี๋ยวกลับมาเราจ่ายให้”
คุณก็ใจดีควักเงินซื้อให้ราคา 80 บาท

พอคุณเอาข้าวให้เพื่อน
เพื่อนบอกว่า “เอ้อ… ไว้ค่อยจ่ายวันหลังนะ”

ผ่านไปหลายเดือน… เพื่อนคนนั้นกลับมาบอกว่า
“เอ่อ… ตอนนั้นที่ให้ไปซื้ออะ ขอจ่ายให้แค่ 20 บาทนะ”

😓 คุณขาดทุนไป 60 บาททันที

ตอนนี้… โรงพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศ
กำลังเจอสถานการณ์แบบนี้
แต่ไม่ใช่เรื่องข้าวกล่อง…
มันคือชีวิตของคนไข้จริงๆ ที่ต้องแลกมา

——————

🔴 แล้วโรงพยาบาลได้เงินจากสปสช.ยังไง?

6.อย่าเพิ่งตกใจถ้าเห็นคำว่า “DRG”, “RW” หรือ “AdjRW”
มันคือระบบคิดเงินของสปสช.ง่ายๆ แบบนี้เลยครับ 👇

ระบบนี้คือการ “คิดคะแนน” ให้กับโรคแต่ละโรค
• โรคหนัก รักษายาก = ได้คะแนนเยอะ
• โรคเบา รักษาง่าย = ได้คะแนนน้อย

จากนั้น…
คะแนนนี้จะถูกเอาไปคูณกับ “ค่าเงินต่อคะแนน” ที่สปสช.เป็นคนกำหนด
= เงินที่โรงพยาบาลจะได้รับ

📌 ตัวอย่างให้เห็นภาพ
สมมติ เคสหนึ่งได้ 2 คะแนน
ถ้าสปสช.กำหนดให้ “1 คะแนน = 8,350 บาท”
โรงพยาบาลก็จะได้เงินคืน 16,700 บาท

7.แต่ปัญหาคือ…
กลางปีที่ผ่านมา สปสช.แอบลดค่าเงินต่อคะแนนลงเหลือ 7800 บาท
โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้าใดๆ

และที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือ…
💥 เรียกเก็บเงินคืนย้อนหลัง จากโรงพยาบาลทั้งหมด
แม้แต่เคสที่รักษาเสร็จไปแล้วและได้เงินไปแล้วตามราคาที่เคยตกลงกันไว้

ยกตัวอย่างเช่น
รพ.ศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น ถูกสปสช.เรียกเงินคืนมากถึง 34 ล้านบาท
ทั้งที่รักษาคนไข้ตามกติกาทุกอย่าง แทนที่จะได้เบิกเงินได้ กลับกลายเป็นติดหนี้ให้สปสช. แทน

8.ลองนึกภาพตามดูนะครับ

คุณทำงานมา 10 เดือน ได้เงินเดือนเดือนละ 20,000 บาท
รวมแล้วคุณได้รับเงินไปแล้วทั้งหมด 200,000 บาท

แต่วันหนึ่ง ฝ่ายบัญชีเรียกคุณไปบอกว่า…
“ขอโทษด้วยนะ เราเพิ่งรู้ว่าเงินบริษัทไม่พอ
เราจะขอลดเงินเดือนคุณลงเหลือแค่ 10,000 บาทต่อเดือน
และเงิน 10 เดือนที่จ่ายไปแล้ว — ขอปรับลดย้อนหลังด้วยนะ
จาก 20,000 เหลือแค่ 10,000
งั้นช่วยคืนเงินเรามา 100,000 บาทด้วยนะ…”

แถมยังบอกว่า
“อีก 2 เดือนสุดท้าย เราจะจ่ายให้ตามอัตราใหม่ เดือนละ 10,000 บาท
รวมแล้วคุณจะได้เงินเพิ่มอีกแค่ 20,000 บาท”

สรุปคือ
• คุณจะได้เพิ่มอีกแค่ 20,000
• แต่ต้องคืนบริษัท 100,000
• เท่ากับคุณกลายเป็น “หนี้บริษัท” ทันที 80,000 บาท❗️
ทั้งที่คุณทำงานครบทุกวัน ไม่มีอะไรผิดเลย

แบบนี้… แฟร์ไหมครับ?

🏥 ตอนนี้โรงพยาบาลทั่วประเทศ กำลังเจอแบบนี้

ทั้งหมดนี้ เพราะอะไร?

เพราะสปสช.บริหารเงินไม่พอ
พอเงินใกล้หมด ก็เลยลดค่าเงินต่อคะแนน
เพื่อ “จ่ายให้น้อยลง” กับทุกโรงพยาบาล
แม้จะเป็นเคสที่รักษาไปแล้วก็ตาม

——————

🔴 ยังไม่จบ… “กฎ 3%” ที่เอาเปรียบสุดๆ

9.สปสช.มีกฎว่าจะสุ่มตรวจเวชระเบียนคนไข้ (เอกสารการรักษา)
อย่างน้อย 3% ของจำนวนทั้งหมด
เพื่อดูว่า… หมอ “กรอกเอกสารถูกไหม?” ให้ “คะแนนโรค” ตามจริงหรือเปล่า?

10.ถ้าหมอรักษาคนไข้จริงแต่เอกสารกรอกไม่ครบ เช่น ลืมเซ็นชื่อหรือพิมพ์ผิดนิดเดียว สปสช.จะหักคะแนนออกทันทีแล้วก็เรียกเงินคืนจากโรงพยาบาล

📌 ปัญหาใหญ่คือ…
สปสช.ไม่ได้หักแค่ “เคสที่ตรวจเจอ” เท่านั้น
แต่จะเอาผลการตรวจแค่ 3%
→ ไปคูณกับ 100% ทั้งหมดเลย!

สมมุติว่า…
โรงพยาบาลมีคนไข้ 100 คน
สปสช. ตรวจแค่ 3 คน (ตามกฎ 3%)

แล้วเจอว่าจาก 3 คน
หมอลงคะแนนไว้รวม 100 คะแนน
แต่สปสช.หักออกเหลือ 50 คะแนน
→ แปลว่าโดนหักคะแนนไปครึ่งนึงใน 3 เคสนี้

💣 ทีนี้ สปสช.จะสั่งหักเงินอีก 97 เคสที่เหลือทั้งหมดด้วย!
แม้ไม่ได้เปิดดูเอกสารเลยสักใบ

💥 เหมือนคุณส่งการบ้าน 100 ชิ้น
ครูสุ่มดูแค่ 3 ชิ้น เจอสะกดผิดไปนิดนึง
แล้วครูบอกว่าผิดทั้งหมด!
→ ตัดเกรดตกทั้งร้อยชิ้น โดยไม่เปิดดูอีก 97 ชิ้นเลย

11. มาดูตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น
– โรงพยาบาลผ่าตัดคนไข้โรคต่อมลูกหมากโต ใช้เงินไปไปประมาณ 15,000 บาท
– แพทย์ลงข้อมูลว่าเป็นการผ่าตัด ได้คะแนน 1.5 คะแนน
→ ซึ่งหมายถึงควรได้เงินคืน = 1.5 × 8,350 = 12,525 บาท

– แต่เมื่อถูกสุ่มตรวจ สปสช.หาเรื่องบอกว่าการวินิจฉัยแบบนี้ ให้แต้มแค่ 0.5 เท่านั้น
แปลว่าเบิกเงินได้เพียง = 0.5 × 8,350 = 4,175 บาท

โรงพยาบาลลงทุน 15,000 บาท แต่เบิกได้แค่ 4175 บาท ในเคสนี้
ทั้งที่ผ่าตัดจริง ใช้ทรัพยากรจริง แต่ต้องขาดทุน

——————

🔴 โรงพยาบาลรัฐ “ขาดทุน-ติดลบ” หนักขึ้นทุกไตรมาส

12.ปัญหาที่เลวร้ายที่สุดของระบบนี้ก็คือ…
โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศเริ่ม “ขาดทุน” และ “เงินบำรุงติดลบ” เพิ่มขึ้น

จากรายงานล่าสุด ไตรมาส3 ปี 2568 พบว่า
มีโรงพยาบาลมากถึง 326 แห่ง ที่เงินบำรุงติดลบ รวมกันกว่า 8,200 ล้านบาท
และจำนวนโรงพยาบาลที่เข้าสู่ภาวะขาดสภาพคล่องกำลังเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว 📉
• ไตรมาสแรก: ขาดทุน 4,200 ล้านบาท (195 แห่ง)
• ไตรมาสสอง: ขาดทุน 5,700 ล้านบาท (218 แห่ง)
• ไตรมาสสาม: ขาดทุน 8,200 ล้านบาท (326 แห่ง)

❗️คำถามคือ… ถ้าไม่มีเงินพอจ่ายค่าอุปกรณ์การแพทย์ ค่ายา ค่าตอบแทนบุคลากร
แล้วโรงพยาบาลจะรักษาคนไข้ได้อย่างไร?

——————

🔴 หมอ-พยาบาล “ทำงานแล้วไม่ได้เงิน”

13. ลองคิดดูว่า ถ้าคุณทำงานหนัก อดหลับอดนอน เพื่อดูแลชีวิตคนไข้
แต่พอถึงสิ้นเดือน กลับไม่มีเงินเดือนให้คุณ…

นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับหมอ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ
เพราะโรงพยาบาลไม่มีเงินพอจะจ่าย เพราะสปสช.ไม่ยอมจ่าย หรือจ่ายช้า

💢 บางคนต้องรอเงิน 6 เดือน – 1 ปี ถึงจะได้เงินค่าตอบแทน
และบางครั้ง… รอไปทั้งปี สุดท้ายก็ไม่ได้จ่ายเพราะโรงพยาบาลไม่มีเงินเหลือ

หมอ-พยาบาลคือด่านหน้าของระบบรักษา
แต่กำลังถูกทำให้ “หมดแรง หมดศรัทธา” ด้วยระบบที่ไม่ยุติธรรมแบบนี้

——————

🔴 แล้วประชาชนล่ะ? ได้รับผลกระทบไหม?

14. ได้รับแน่นอนครับและกำลังเกิดขึ้นแล้วทั่วประเทศ

• 🛑 หลายโรงพยาบาลหยุดให้บริการบางอย่างหรือไม่รับผู้ป่วยเพิ่ม เพราะ “เงินไม่พอรักษา”
→ ประชาชนต้องเดินทางไปโรงพยาบาลที่ไกลกว่า เสียค่าใช้จ่ายเองเพิ่มขึ้น

• 💊 ยาที่เคยได้ครั้งละ 2-3 เดือน → ถูกลดเหลือแค่ 1 สัปดาห์
เพราะโรงพยาบาลไม่สามารถสต๊อกยาได้เหมือนเดิม

• 🚫 ยาดีๆ ยานอกบัญชี ยาที่จำเป็นบางตัว… เริ่มหายไปจากระบบ
เพราะ รพ.ไม่มีเงินพอจะสั่งเข้าคลัง

• ❤️‍🔥 ผู้ป่วยโรครุนแรงบางราย อาจไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่
เช่น คนไข้หัวใจตีบ 3 เส้น
หมอจำเป็นต้อง “เลือกทำแค่ 1 เส้น” เพราะเบิกได้แค่ครั้งเดียว
อีก 2 เส้นที่เหลือ… ต้องรอให้ “เกือบตายอีกรอบ” ถึงจะได้สิทธิ์อีกครั้ง

⚠️ นี่ไม่ใช่ “นิยายดราม่า” แต่คือสิ่งที่ “กำลังเกิดขึ้นจริง”
ในโรงพยาบาลหลายแห่งในประเทศไทย — และอาจกำลังเกิดกับคุณ หรือคนที่คุณรัก

——————

🔴 ตัวอย่างชัดๆ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โดนเล่นงานจาก “การเปลี่ยนกติกาย้อนหลัง”!

15.เริ่มจากคำขอร้อง → กลายเป็นขาดทุน 78 ล้าน!

📌 มี.ค. 2567 — สปสช. ขอให้ “รพ.มงกุฎวัฒนะ” ช่วยรับผู้ป่วยบัตรทองกว่า 200,000 คน
📌 รพ.ตกลงช่วยเต็มที่ เพราะสปสช.บอกว่าจะจ่ายเงินตามตารางค่ารักษา (Fee Schedule)

💥 แต่เรื่องกลับไม่เป็นแบบนั้น…
– รพ.รักษาคนไข้ไปเรียบร้อย
– สปสช. ค้างจ่ายค่ารักษา 40 ล้านบาท
– ต่อมา “เปลี่ยนกติกากลางปี” โดยเอาระบบใหม่ (ระบบแต้ม) มาใช้ย้อนหลัง

ผลคือ…
✅ เดิมจะต้องได้เงิน 40 ล้าน
❌ ไม่ได้เงินคืน แถมต้องกลายเป็นติดหนี้สปสช. 38 ล้านบาทแทน!

📉 สรุป ช่วยรักษาคน → กลายเป็นขาดทุน 78 ล้านบาท!

16. หยุดรับบริการผู้ป่วยนอกบัตรทองชั่วคราว
📍 ล่าสุด พล.ต.นพ. เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนา ออกแถลงการณ์ว่า
– วันที่ 16 ตุลาคม 2568 โรงพยาบาลจำเป็นต้องหยุดให้บริการผู้ป่วยนอกสิทธิบัตรทอง แบบชั่วคราวจนกว่าสปสช.จะเคลียร์หนี้
– การหยุดนี้ ไม่ใช่เพราะโรงพยาบาลอยากถอนตัวจากระบบ แต่เพราะแบกรับภาระทางการเงินไม่ไหวแล้ว

🗣 ผอ.โรงพยาบาลกล่าวว่า
– “ระบบนี้ไม่ได้เป็นแค่ความผิดพลาดทางเทคนิค แต่เป็นระบบที่ไร้ธรรมาภิบาลอย่างสิ้นเชิง”

✅ ผลที่เกิดขึ้นคือ ผู้ป่วยบัตรทองกว่า 47,000 คน ที่เคยใช้บริการที่นี่แบบผู้ป่วยนอก (OPD) ถูกส่งผลกระทบทันที ต้องมองหาทางเลือกอื่น หรือจ่ายเองไปก่อน

——————

🔴 คำพูดสวยหรูของสปสช. = ฉากบังหน้า

17.สปสช.มักพูดว่า
“เราทำตามกฎหมาย” “เราควบคุมงบเพื่อประชาชน” “เราทำเพื่อคนไข้”

แต่ความจริงคือ…
สปสช.กำลังใช้คำว่าประชาชนบังหน้า
เพื่อกดดันโรงพยาบาลให้แบกรับภาระเองทั้งหมด
และจ่ายเงินคืนให้รพ.น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
โดยไม่สนใจว่ารพ. จะอยู่รอดหรือไม่?

เราจึงมักจะเห็นว่ารพ. ต้องเปิดรับบริจาคอยู่เรื่อยๆ
เพื่อความอยู่รอดและจะรักษาคนไข้ต่อไป

18. ถ้าปล่อยไว้แบบนี้…สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ
• หมอท้อ พยาบาลลาออก
• โรงพยาบาลขาดงบ เครื่องมือเสื่อม ยาขาดแคลน
• และสุดท้าย… ประชาชนไม่มีที่รักษา

==================

📌 นี่ไม่ใช่เรื่องของหมอหรือโรงพยาบาล
แต่มันคือเรื่องของคนไทยทุกคน

สปสช.ถือเงิน 2 แสนล้านบาทไว้ในมือ
แต่ถ้าไม่มีความโปร่งใสและไม่ยุติธรรม
เราทุกคนคือผู้ที่ต้องจ่ายแทน

อยากให้ทุกคนอ่านเรื่องนี้แล้วถามตัวเองว่า
“สิทธิ์รักษาฟรีของเรายังปลอดภัยอยู่ไหม?”

อยากให้โพสต์นี้ “พูดแทนหมอและพยาบาล”
ที่ไม่มีเวลาออกมาอธิบาย
และพูดแทนประชาชนทุกคนที่ไม่รู้ว่ากำลังเสียสิทธิ์ไปทีละน้อย 🩺

ฝากแชร์โพสต์นี้ให้คนอื่นได้รู้ทันระบบที่กำลังพัง — ก่อนจะสายเกินไป

นวดท้องลดปวดประจำเดือน✨
20/10/2025

นวดท้องลดปวดประจำเดือน✨

จากงานวิจัยสู่ประสบการณ์จริง ปัญหาที่ผู้หญิงจำนวนมากเจอ

อาการปวดประจำเดือน (dysmenorrhea) เป็นเรื่องที่ผู้หญิงกว่า 50–80% ต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน ระดับความรุนแรงแตกต่างกันไป ตั้งแต่ปวดหน่วงเล็กน้อยจนถึงปวดรุนแรงจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ หลายคนอาจพึ่งยาแก้ปวด แต่ก็ไม่ได้ผลเสมอไป

วันนี้ก้อนเมฆจะพามาพบงานวิจัย ที่มีการยืนยันผลของการ “นวดท้อง”สามารถลดอาการปวดประจำเดือนได้จริง

การศึกษาของ Kim และคณะ (2005)
ได้ทดลองในผู้หญิงวัยทำงาน 85 คน
โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ

1.กลุ่มทดลอง (จำนวน42 คน): ได้รับการนวดท้องแบบ Abdominal meridian (Kyongrak) massage
วันละ 5 นาที ต่อเนื่อง 6 วัน (เริ่ม 5 วันก่อนมีประจำเดือนถึงวันแรก)

2.กลุ่มควบคุม (43 คน): ไม่ได้รับการนวด

ผลลัพธ์ที่น่าสนใจคือ กลุ่มที่ได้รับนวดมี คะแนนปวด & dysmenorrhea ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.001) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการนวด

ข้อสรุปของงานวิจัยนี้คือ: การนวดท้องแนว Kyongrak มีศักยภาพสูงในการบรรเทาอาการปวดประจำเดือน และเป็นแนวทางเสริมที่น่าสนใจในการดูแลสุขภาพผู้หญิง

ขออธิบายนิดนึงว่าการนวดท้องแบบ Abdominal meridian (Kyongrak) massage คืออะไร?ใช้หลักแนวคิดอะไร?
• Meridian (เส้นพลังงาน/เส้นลมปราณ) : ตามทฤษฎีแพทย์ตะวันออก ร่างกายมนุษย์มีเส้นพลังงาน (Kyongrak/Chi/Prana) ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย หากเส้นเหล่านี้อุดตันหรือเสียสมดุล จะก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วย
• ท้อง (Abdomen) : ถือเป็นศูนย์กลางของพลังชีวิต เพราะเป็นที่อยู่ของอวัยวะสำคัญ เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้ ม้าม ตับ รวมถึงระบบย่อยอาหารและการหมุนเวียนของพลังงาน

วิธีการปฏิบัติ เช่น
•การกด นวด คลึง บริเวณท้องและรอบ ๆ ตามแนวเส้นเมอริเดียน
•บางครั้งมีการนวดลึก เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด น้ำเหลือง และพลังงาน
•เน้นการเปิดจุดกดเจ็บ (pressure points) เพื่อระบายพลังงานที่ติดขัด
ทั้งสองรูปแบบมีการกดจุด / ใช้แรงกดในจุดที่รู้สึกตึงหรืออุดตัน

🎯จุดที่คล้ายกันระหว่างการนวดท้องแนว meridian กับนวดแผนไทย

ไม่ว่าจะเป็น แนวคิด “เส้นพลังงาน / เส้นทางพลังงาน”
-การนวดแนว meridian เชื่อว่ามี “เส้นลมปราณ / พลังงาน / meridians” ไหลเวียนในร่างกาย ซึ่งในนวดแผนไทย ก็มีแนวคิด “เส้น ประธานสิบ” ที่เป็นเส้นพลังงานในร่างกาย เป็นเส้นทางที่พลังงานไหลผ่านในร่างกาย **คล้ายแต่ไม่ใช่

-การกดจุด / จุดกดเจ็บ / pressure points ทั้งสองวิธีมักมีการใช้การกด (acupressure / จุดกด) บริเวณที่รู้สึกตึงหรือจุดที่อุดตันพลังงานแนวคิดร่วมคือ การนวดเป็นการ “เปิดทางให้พลังงาน / เลือด / ของเสีย” ไหลเวียน — ลดการคั่ง ลดการอุดตัน

🎯เป้าหมายผลลัพธ์ทั้งสองวิธี
ถูกนำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการตึง อาการเจ็บปวด และส่งเสริมความผ่อนคลาย ซึ่งปัจจุบันไทยก็มีงานวิจัยแนวนี้ออกมาโดยเป็นการเปรียบเทียบ การนวดไทยราชสำนักVs การทานยาประสะไพล ใครสนใจอยากอ่านต่อพิมพ์ 👉🏻สนใจอยากอ่านต่อ ได้เลยค่ะ👈🏻ว่างแล้วเราจะมาสรุปให้อ่านเล่นๆนะ
กลับมาที่การนวดของเราต่อ

และทำไมการนวดแผนไทยถึงช่วยได้?

-กระตุ้นการไหลเวียนเลือด → ลดการคั่งค้างของเลือดลมรอบมดลูก

-คลายกล้ามเนื้อที่เกร็ง → ลดแรงหดตัวของมดลูก

-กระตุ้นระบบประสาทสัมผัส → รบกวนสัญญาณความเจ็บปวด (ตามทฤษฎี Gate Control)

-เพิ่มสารเอ็นโดรฟิน → สารธรรมชาติของร่างกายที่ช่วยบรรเทาปวดและสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย

-ลดความเครียด → ทำให้ร่างกายอยู่ในโหมดผ่อนคลายมากขึ้น

🎯ประสบการณ์จริงที่สนับสนุน

“ก้อนเมฆมีอาการปวดท้องช่วงตี 4 — เจ็บทรมาน — เริ่มกดนวดตามแนวเส้นประธาน + ยืดพังผืดลำไส้ + คลายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน+ท้องส่วนล่าง … ใช้เวลาเพียง 10 นาที — อาการปวดทุเลาทันที — สามารถนอนต่อจนถึงเช้าได้”

ประสบการณ์นี้สะท้อนสิ่งที่งานวิจัยบางชิ้นที่พบว่า: แม้การนวดสั้น ๆ ก็สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ผู้หญิงรับรู้ได้จริง
แต่ปัจจุบันมีงานวิจัยสนับสนุนชัดเจนว่ามีประสิทธิภาพต่อการลดอาการปวดประจำเดือน หากทำอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ สามารถเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ปลอดภัยและอ่อนโยนสำหรับผู้หญิงทุกคนแล้วนะคะ
แต่การนวดผู้หญิงกลุ่มนี้ก็ควรระวังเช่นเดียวกัน

ข้อควรระวัง &ข้อจำกัดที่ควรรู้❗️

-ไม่ใช่ทุกคนจะตอบสนองในระดับเดียวกัน บางคนอาจได้ผลมาก บางคนได้น้อย
-ถ้ามีภาวะทางนรีเวช (เช่น เนื้องอก มดลูกผิดรูป เยื่อบุโพรงมดลูกรั่ว ฯลฯ) ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
-อย่าใช้นวดแรงเกินไปโดยไม่ชำนาญ — อาจทำให้เจ็บหรือทำร้ายเนื้อเยื่อ

ซึ่งมีรายงานอาการไม่พึงประสงค์เล็กน้อย เช่น จุดแดง คัน หรือจุดเจ็บเมื่อกดบางแห่งแต่ไม่เกิน2-3 วันจุดเหล่านี้ก็จะหายไปเป็นเรื่องปกติ

ถ้าใครกำลังเผชิญกับปวดเดือนเป็นประจำ ลอง เข้ารับหัตถการนวดท้องกับแพทย์แผนไทยหรือแพทย์แผนจีนเพื่อรับคำแนะนำ หรือเริ่มด้วยตนเองก่อน(เริ่มจาก 3–5 นาที รอบ ๆ ท้องล่าง)
— ถ้าได้ผลมันจะกลายเป็นอีกทางเลือกที่ปลอดภัยที่อ่อนโยนต่อสุขภาพสตรีมากอีกหัตถการหนึ่ง —

งานวิจัยในด้านนี้ยังมีจำนวนน้อย รูปแบบการนวด (เวลา ความถี่ วิธี) อยากเชิญชวนแพทย์แผนไทยช่วยทำงานวิจัยตีพิมพ์เพื่อพัฒนากันต่อไป และสามารถนำผลงานที่ตีพิมพ์แล้วส่งมา ให้ทางเพจก้อนเมฆเพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน เเละเป็นเกียรติคุณได้เลยค่ะ

อย่าลืมแชร์บทความนี้ให้ผู้หญิงที่คุณรักอ่านด้วยนะคะก้อนเมฆขออวยพรให้ผู้หญิงทุกคนเติบโตแบบไม่ปวดท้องรอบเดือนนะคะ☺️☁️⛅️✨

20/10/2025

#ประกาศ รพ. สุราษฎร์ธานี เรื่องบริการคนไข้ไม่ฉุกเฉินที่ห้องประกันสังคม(ไม่ใช่SMC)

ที่อยู่

สุธาสินีคลินิกการแพทย์แผนไทย สุราษฎร์ธานี
Surat Thani

เวลาทำการ

อังคาร 09:00 - 19:00
พุธ 09:00 - 19:00
พฤหัสบดี 09:00 - 19:00
ศุกร์ 09:00 - 19:00
เสาร์ 09:00 - 19:00
อาทิตย์ 09:00 - 19:15

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หมอหยิน สุธาสินีคลินิกการแพทย์แผนไทย สุราษฎร์ธานีผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง หมอหยิน สุธาสินีคลินิกการแพทย์แผนไทย สุราษฎร์ธานี:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram