26/10/2025
ผลกระทบทางจิตใจของการบังคับลูกเรียนแพทย์ในประเทศกำลังพัฒนา
โดย พญ. กมลชนกกาญจน์ คำมูลกาญจนรพี
บทนำ
ในหลายประเทศกำลังพัฒนา ผู้ปกครองจำนวนมากมีค่านิยมว่าการเป็นแพทย์คือเส้นทางสู่อาชีพที่มีเกียรติ มั่นคง และประสบความสำเร็จสูงสุด จึงมักผลักดันหรือคาดหวังให้บุตรหลานเลือกเรียนแพทย์โดยพิจารณาจากผลการเรียนและภาพลักษณ์ทางสังคม มากกว่าจะคำนึงถึงความถนัดหรือความต้องการที่แท้จริงของเด็กเอง แนวคิดเช่นนี้ฝังรากลึกมายาวนาน – ดังรายงานจากประเทศไทยที่ระบุว่าแม้เวลาจะผ่านหลายสิบปี ค่านิยม “ลูกต้องเรียนหมอ” ก็ยังไม่เปลี่ยนไป ผู้ปกครองจำนวนมากยังคงยัดเยียดความฝันของตนให้เด็กเก่งต้องเรียนแพทย์  การบังคับหรือกดดันทางอ้อมเช่นนี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเด็กในหลายด้าน และแนวโน้มปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นก็กำลังทวีความรุนแรงในยุคปัจจุบัน ดังเช่นในอินเดีย จิตแพทย์รายงานว่าจำนวนผู้ป่วยวัยเรียนที่มีปัญหาสุขภาพจิตจากแรงกดดันเรื่องเรียนเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 12–15 ราย (เพิ่มขึ้นถึงสองเท่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา)  สัญญาณเหล่านี้สะท้อนว่าการคาดหวังให้ลูกเดินตามเส้นทางที่ผู้ปกครองต้องการ (เช่น เส้นทางแพทย์) อาจก่อให้เกิดผลกระทบทางลบอย่างมากต่อจิตใจของเด็กและวัยรุ่น
แรงกดดันทางวิชาการและความคาดหวังของพ่อแม่ในประเทศกำลังพัฒนา
งานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าเด็กและวัยรุ่นในประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญกับแรงกดดันทางวิชาการและความคาดหวังจากครอบครัวในระดับสูงอย่างน่าวิตก ยกตัวอย่างเช่น การสำรวจนักเรียนชั้นมัธยมปลายในอินเดียพบว่า 86% ของนักเรียนมีความเครียดด้านการเรียนอยู่ในระดับสูง และถึง 87% รับรู้ว่าได้รับแรงกดดันจากพ่อแม่อย่างเข้มข้นให้ประสบความสำเร็จทางการศึกษา   ในทำนองเดียวกัน ผลการศึกษาอื่นในกลุ่มนักเรียนอินเดียระบุว่านักเรียน เกือบสองในสาม รายงานว่าตนรู้สึกเครียดจากแรงกดดันด้านวิชาการ และ ประมาณสองในสาม รู้สึกว่าถูกผู้ปกครองกดดันให้ต้องทำผลการเรียนให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน  แรงกดดันสะสมเหล่านี้ไม่เพียงบั่นทอนสุขภาวะของเด็ก แต่ยังส่งผลทางลบต่อทั้งร่างกายและจิตใจอย่างชัดเจน – มีรายงานว่าภายใต้แรงกดดันดังกล่าว นักเรียนจำนวนไม่น้อยประสบปัญหานอนไม่หลับหรือนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ และบางคนถึงกับเกิดภาวะซึมเศร้าเนื่องจากความกดดันจากการเรียนและพ่อแม่ 
นอกจากข้อมูลเชิงสถิติจากงานวิจัยแล้ว รายงานเชิงคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญก็สะท้อนภาพในลักษณะเดียวกัน จิตแพทย์ในอินเดียตั้งข้อสังเกตว่าการแข่งขันเพื่อเข้าเรียนสาขายอดนิยมในมหาวิทยาลัย (เช่น แพทยศาสตร์) ที่มีที่นั่งจำกัด ประกอบกับแรงผลักดันจากครอบครัว ยิ่งทำให้วัยรุ่นเผชิญแรงกดดันมหาศาล  หลายกรณีพบว่า “ความคาดหวังที่เพิ่มพูนจากครอบครัว” เป็นปัจจัยที่ ซ้ำเติม สุขภาพจิตของเด็ก เพราะเมื่อเด็กไม่สามารถรับมือกับแรงกดดันดังกล่าว ก็อาจพัฒนาไปสู่ความผิดปกติทางจิตใจได้  กล่าวได้ว่าแรงกดดันทางวิชาการและความคาดหวังของผู้ปกครองเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเยาวชนในหลายสังคมกำลังพัฒนา
ความเครียดและความวิตกกังวล
แรงผลักดันให้ต้องสอบเข้าคณะแพทย์หรือหลักสูตรแข่งขันสูงตั้งแต่อายุยังน้อย ก่อให้เกิด ระดับความเครียดและความวิตกกังวลที่สูงผิดปกติในเด็กวัยเรียน โดยทั่วไป นักเรียนที่ถูกคาดหวังสูงมักแบกรับ ความเครียดเรื้อรัง จากการเรียนและการสอบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความเครียดนี้ส่งผลต่อทั้งสุขภาพกาย (เช่น อ่อนเพลีย, นอนไม่หลับ) และสุขภาพใจ (เช่น วิตกกังวลตลอดเวลา) ของเด็ก สำหรับบางคน ความเครียดอาจทวีความรุนแรงจนกลายเป็นความผิดปกติทางด้านอารมณ์และพฤติกรรมได้ ข้อมูลจากอินเดียชี้ว่า กรณีปัญหาสุขภาพจิตในวัยรุ่นจำนวนมากเกี่ยวพันโดยตรงกับความเครียดเรื่องเรียนที่สะสม – ผู้เชี่ยวชาญรายงานว่าปัญหาสุขภาพจิตส่วนใหญ่ของนักเรียนวัยรุ่น สัมพันธ์กับแรงกดดันด้านการเรียน ที่มากเกินไป โดยเด็กเหล่านี้ มีความเครียดเรื่องผลการสอบสูงเกินระดับที่รับไหว  นอกจากนี้จิตแพทย์ในอินเดียยังให้ข้อมูลว่าเขาพบผู้ป่วยเด็กที่มีปัญหาจิตใจจากเรื่องเรียนเพิ่มขึ้นเป็น วันละ 3–4 ราย (มากกว่าห้าปีก่อนเกือบเท่าตัว) โดย ผู้ปกครองหลายคนไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่า “ความคาดหวังที่ไม่สมจริง” ของตนเองคือส่วนหนึ่งของสาเหตุปัญหาสุขภาพจิตของลูก  กรณีเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าความเครียดและวิตกกังวลในเด็กที่ถูกกดดันด้านการเรียนเป็นปัญหาที่มีอยู่จริงและกำลังขยายวงกว้างขึ้น
ภาวะซึมเศร้าและความรู้สึกไร้คุณค่า
เมื่อต้องอยู่ใต้แรงกดดันและความ kỳ vọngที่สูงเกินไป เด็กจำนวนไม่น้อยอาจเกิด ความรู้สึกว่าตนเองล้มเหลวหรือ “ดีไม่พอ” หากไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่พ่อแม่วางไว้อย่างเข้มงวด ความรู้สึกด้อยค่าในตนเองนี้เป็นพื้นฐานให้เกิด ภาวะซึมเศร้า และปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ตามมา งานวิจัยเชิงปริมาณตอกย้ำให้เห็นภาพดังกล่าวชัดเจน – การศึกษาหนึ่งในเวียดนามรายงานว่าในกลุ่มนักเรียนมัธยม จำนวน 41.1% มีอาการซึมเศร้า และ 22.8% มีอาการวิตกกังวลอย่างมีนัยสำคัญ โดย 26.3% เคยคิดอยากฆ่าตัวตาย และ 12.9% ถึงขั้นวางแผนจะฆ่าตัวตาย ทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกับปัจจัยหลักคือแรงกดดันจากครอบครัวและเรื่องเรียน  สอดคล้องกับรายงานภาคสนามจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งระบุว่านักเรียนที่อยู่ภายใต้ความคาดหวังสูงมักจะแสดงอาการทางอารมณ์ออกมาหลายด้าน เช่น มีความวิตกกังวลสูง, อารมณ์เศร้าหมอง เบื่อหน่าย, หงุดหงิดง่าย, หมดความสนใจในสิ่งที่เคยชอบ, รู้สึกไร้คุณค่าในตัวเอง และบางรายมีแนวโน้มความคิดอยากฆ่าตัวตาย  อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณของภาวะซึมเศร้าและปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดจากแรงกดดันเกินพิกัดในวัยที่ยังไม่พร้อมจะรับมือ เด็กที่เผชิญภาวะดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือและการสนับสนุนทางจิตใจ มิฉะนั้นอาจส่งผลกระทบยาวนานไปถึงวัยผู้ใหญ่
ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว
การบังคับหรือชี้นำให้ลูกเลือกเส้นทางชีวิตตามที่พ่อแม่ต้องการโดยไม่ฟังเสียงของลูก บั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่-ลูก อย่างมีนัยสำคัญ หลายครอบครัวเกิดความขัดแย้งและช่องว่างระหว่างวัยเมื่อเด็กพยายามจะสื่อสารความฝันของตน แต่พ่อแม่กลับยืนยันในความต้องการของตนเอง ตัวอย่างในประเทศไทยสะท้อนชัดเจน – รายงานจากครูแนะแนวของโรงเรียนระดับมัธยมแห่งหนึ่งพบว่าเด็กจำนวนไม่น้อยเกิดความเครียดและทุกข์ใจจากความขัดแย้งกับครอบครัวเรื่องการเลือกคณะศึกษาต่อ บางคนถึงกับมาขอคำปรึกษาจากครู เพราะพ่อแม่ยืนกรานจะให้เรียนแพทย์เท่านั้น  บรรยากาศในครอบครัวที่ตึงเครียดและเต็มไปด้วยความคาดหวังเช่นนี้ส่งผลให้เด็กจำนวนมากรู้สึกอึดอัดหรือกดดันในบ้านของตนเอง ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตในไทยรายหนึ่งถึงกับกล่าวว่า วิธีการที่พ่อแม่ขีดเส้นชีวิตให้ลูกต้องเป็นหมอ แล้วเร่งรัดกวดขันลูกทุกวิถีทาง กลายเป็นแรงกดดันที่ถ่ายทอดไปยังลูก จนลูกต้องรับเคราะห์จากความหวังดีของพ่อแม่เอง – ปรากฏการณ์นี้เปรียบได้กับ “พ่อแม่รังแกฉัน”  กล่าวคือ แทนที่บ้านจะเป็นพื้นที่ปลอดภัย เด็กกลับรู้สึกว่าความรักและการยอมรับจากพ่อแม่มีเงื่อนไขผูกอยู่กับความสำเร็จตามที่พ่อแม่หวังไว้ ซึ่งบั่นทอนสายใยความสัมพันธ์ในครอบครัวอย่างยิ่ง เด็กบางคนอาจตอบสนองด้วยการต่อต้านหรือทะเลาะกับพ่อแม่ ขณะที่บางคนเลือกปิดกั้นตนเอง ไม่เล่าเรื่องทุกข์ใจหรือความต้องการจริงๆ ให้พ่อแม่ฟังเนื่องจากเกรงจะผิดหวัง ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ความเข้าใจกันในครอบครัวยิ่งลดน้อยลง
ความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายและผลกระทบระยะยาว
ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงที่สุดของวิกฤตสุขภาพจิตในเด็กกลุ่มนี้คือ ความเสี่ยงที่จะคิดสั้นหรือพยายามฆ่าตัวตาย เมื่อความเครียดและซึมเศร้าสะสมโดยไม่ได้รับการแก้ไข เด็กบางคนอาจมองไม่เห็นทางออกจนตัดสินใจกระทำอันตรายต่อตนเอง กรณีเช่นนี้มีปรากฏให้เห็นแล้วในหลายประเทศกำลังพัฒนา ในประเทศไทยมีรายงานว่านักศึกษาแพทย์หลายสถาบันต้องจบชีวิตตัวเองลงจากปัญหาภาวะซึมเศร้าและความเครียดระหว่างเรียนแพทย์  ส่วนในประเทศอินเดีย เหตุการณ์นักเรียนวัยรุ่นฆ่าตัวตายจากแรงกดดันเรื่องเรียนเกิดขึ้นจนผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนภัย โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย 2 รายในเมืองหนึ่ง ซึ่งจุดประเด็นให้สังคมหันมาสนใจสุขภาพจิตวัยรุ่นอย่างจริงจัง โดย ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าส่วนใหญ่สาเหตุเกี่ยวข้องกับแรงกดดันด้านการเรียนที่ทำให้เด็กเครียดเกินรับไหว  ข้อมูลเชิงสถิติสนับสนุนความกังวลนี้เช่นกัน – ดังที่ยกมาแล้ว งานวิจัยในเวียดนามพบว่านักเรียนกว่า 1 ใน 4 (26.3%) เคยมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย และราว 12.9% ถึงขั้นวางแผนจะทำ ตามแรงผลักดันจากครอบครัวและการเรียนที่ตนเผชิญ  สำหรับประเทศไทย การสำรวจสุขภาพจิตนักเรียนระดับมัธยมทั่วประเทศเมื่อปี 2567 จำนวน 3,516 คน พบว่า ปัญหาความเครียดในครอบครัวเป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับความคิดอยากฆ่าตัวตายของเด็กบางส่วน โดยมีนักเรียน 74 คนที่ระบุว่าเคยคิดอยากฆ่าตัวตาย และ 18 คนที่เคยลงมือทำร้ายตัวเอง มาแล้ว ซึ่งล้วนเชื่อมโยงกับความเครียดจากครอบครัวที่ตนได้รับ  ตัวเลขเหล่านี้ยืนยันว่าการบังคับหรือกดดันลูกอย่างไม่เหมาะสมเรื่องการเรียนและอาชีพสามารถนำไปสู่ผลร้ายแรงระยะยาวต่อชีวิตของเด็กได้จริง
สรุปและข้อเสนอแนะ
โดยสรุป การผลักดันบุตรให้เรียนแพทย์ตามค่านิยมของพ่อแม่หรือความสำเร็จทางวิชาการ โดยละเลยความถนัดและสุขภาพจิตของเด็ก ส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง ในหลายด้าน ได้แก่:
• ความเครียดและวิตกกังวลสูง: เด็กต้องแบกรับแรงกดดันเรื่องเรียนและสอบอยู่ตลอดเวลา จนเกิดความเครียดเรื้อรังและความกลัวความล้มเหลว
• ภาวะซึมเศร้าและความรู้สึกไร้คุณค่า: เมื่อทำไม่ได้ดังหวัง เด็กมักโทษตนเอง รู้สึกว่าตนไม่มีคุณค่า เกิดอาการซึมเศร้าและหมดแรงจูงใจ
• ความสัมพันธ์ในครอบครัวย่ำแย่: การสื่อสารระหว่างพ่อแม่-ลูกมีปัญหา เด็กเกิดความรู้สึกถูกกดดันหรือไม่เป็นที่ยอมรับ ความไว้วางใจและความเข้าใจในครอบครัวลดลง
• ความเสี่ยงต่อการคิดสั้นหรือฆ่าตัวตาย: ในกรณีรุนแรง ความเครียดและซึมเศร้าที่สะสมอาจผลักดันให้เด็กตัดสินใจทำร้ายตนเองหรือพยายามฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่น่าเศร้าที่สุด
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าว ผู้ปกครองจำเป็นต้องตระหนักถึงผลเสียของการคาดหวังที่เกินพอดี และเปิดใจรับฟังความต้องการของลูกมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการสนับสนุนลูกให้ค้นหาตัวตนและเป้าหมายชีวิตของตนเองเป็นสิ่งสำคัญ พ่อแม่ควรให้ความรักและการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ผูกค่าของลูกไว้กับ “คณะที่เรียน” หรือ “อาชีพที่ทำ” จนเกินไป ในกรณีที่พบว่าเด็กมีความเครียดหรือซึมเศร้าจากแรงกดดัน ควรรีบพูดคุยอย่างเข้าใจหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา เพื่อหาทางช่วยเหลืออย่างถูกต้องเหมาะสม ดังคำแนะนำของครูแนะแนวไทยรายหนึ่งที่ วิงวอนผู้ปกครองให้อยู่เคียงข้างความฝันของลูกหลาน แม้ความฝันนั้นจะไม่ตรงกับความต้องการของพ่อแม่ก็ตาม  เมื่อครอบครัวยอมรับและสนับสนุนเด็กตามศักยภาพและความชอบที่แท้จริง เด็กก็จะมีโอกาสเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุข มั่นคงทางอารมณ์ และประสบความสำเร็จในแบบของตนเองอย่างยั่งยืน