คลินิคหมออุมา/คลินิคแพทย์หญิงอุมา

คลินิคหมออุมา/คลินิคแพทย์หญิงอุมา ตรวจรักษาโรคทั่วไปเด็กและผู้ใหญ่ ฉีดยา ทำแผล ผ่าตัดเล็ก ฉีดยาคุมกำเนิด ฉีดวัคซีนเด็ก เช็ค

01/11/2025

🌱 เมื่อลูกกลับมาจากโรงเรียน...อย่าลืมกอดเขาแน่น ๆ สักครั้ง

เพราะในหนึ่งวัน เขาอาจผ่านอะไรมามากกว่าที่เราคิด
บางครั้ง…
เด็กตัวเล็ก ๆ คนนั้น อาจเพิ่งเผชิญกับ
– เพื่อนล้อเลียน
– ความเหงาในมุมห้อง
– คำดุที่บั่นทอนความมั่นใจ
– หรือความรู้สึกแพ้เมื่อทำข้อสอบไม่ผ่าน

โลกของโรงเรียน คือสนามฝึกชีวิตที่เด็กทุกคนต้องเรียนรู้
ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แต่เราสร้าง “เกราะใจ” ให้ลูกได้
และจุดเริ่มต้นของความแข็งแรงทางใจ คือ “บ้าน” ❤️

สิ่งง่าย ๆ ที่พ่อแม่ทำได้ทุกวัน
เพื่อให้ลูกพร้อมก้าวไปอีกวันอย่างมั่นใจ มีดังนี้:

✨ 1. ฟังอย่างตั้งใจ
ถามด้วยใจ ไม่ใช่แค่ปาก
"วันนี้ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้างลูก?"
แล้วเงียบ… ฟังเขาให้จบ โดยไม่รีบสรุปแทน

✨ 2. กอดแน่น ๆ เมื่อลูกกลับถึงบ้าน
แค่ลูบหัว หรือกอดแน่น ๆ ก็เหมือนบอกว่า “หนูปลอดภัยแล้วนะ”

✨ 3. ชมความพยายาม มากกว่าผลลัพธ์
"แม่เห็นนะว่าหนูตั้งใจทำการบ้านมากเลย เก่งมากลูก"
สิ่งนี้จะปลูกความมั่นใจลึก ๆ ในใจลูก ว่าการพยายามก็มีค่า

✨ 4. บอกลูกเสมอว่า เขามีคุณค่าในแบบที่เขาเป็น
"ไม่ว่าใครจะพูดว่ายังไง หนูก็เป็นเด็กที่น่ารักของพ่อแม่นะ"

✨ 5. แบ่งปันประสบการณ์ของเรา
"ตอนแม่เด็ก ๆ ก็เคยโดนเพื่อนล้อนะ เจ็บใจเหมือนกัน
แต่แม่ผ่านมันมาได้ แล้วหนูก็จะผ่านได้เหมือนกัน"

✨ 6. ชวนมองโลกในมุมที่อ่อนโยนขึ้น
"วันนี้มันอาจไม่ดี...แต่พรุ่งนี้เราจะเริ่มใหม่ได้เสมอเนอะ"

บางที “ความรักจากบ้าน” คือของขวัญที่ดีที่สุด
ที่ทำให้ลูกกล้าออกไปล้ม… และลุกขึ้นอีกครั้ง

#ข้อคิด #กำลังใจในทุกวัน #แรงบันดาลใจ #แม่กวางมนุษย์แม่ออนไลน์เงินล้าน #แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต #กำลังใจ #ความสุข #ฝากไว้ให้คิด #พลังบวก #ข้อคิดดีๆในการใช้ชีวิต #ส่งพลังบวก #คุณทำได้ #ฮีลใจ #คำคม #เลี้ยงลูกเชิงบวก

25/10/2025

อำเภอหาดใหญ่กำหนดจัดพิธีถวายสักการะพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
-------------------------------------------------------
ด้วยอำเภอหาดใหญ่ กำหนดจัดพิธีถวายสักการะพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
*** ในวันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 08.00 - 16.00 น.
ณ หอประชุมศูนย์ศิลป์ โรงเรียนหาดใหญ่สมบูรณ์กุลกันยา อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
#การแต่งกาย : ข้าราชการชุดปกติขาวแขนทุกข์ (ด้านซ้ายเหนือศอก)
#สำหรับประชาชนทั่วไป
ให้แต่งกายไว้ทุกข์
จึงแจ้งมาเพื่อเข้าร่วมพิธีดังกล่าว และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบโดยทั่วกัน

19/10/2025

20 เหตุผล ทำไมลูกที่สนิทกับพ่อแม่ในวัยเด็ก มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าเมื่อโตขึ้น (ตามงานวิจัยมหาลัย Ivy leage)

1. ฐานอารมณ์มั่นคง (Emotional Security)

• Harvard พบว่า เด็กที่ผูกพันแน่นแฟ้นกับพ่อแม่ มีแนวโน้มจัดการความเครียดได้ดีกว่าเมื่อโตขึ้น

2. พัฒนาความมั่นใจในตนเอง (Self-Esteem)

• Yale ชี้ว่า ความสัมพันธ์อบอุ่นกับพ่อแม่ สร้าง self-esteem ที่สูง ซึ่งเชื่อมโยงกับโอกาสความสำเร็จทางวิชาการและอาชีพ

3. ทักษะการเข้าสังคม (Social Skills)

• Princeton พบว่า เด็กที่สนิทกับพ่อแม่จะอ่านอารมณ์คนอื่นเก่งขึ้น และสร้างเครือข่ายทางสังคมได้ง่ายกว่า

4. สมองส่วน EF แข็งแรง (Executive Function)

• Harvard Center on the Developing Child ระบุว่า ความผูกพันกับพ่อแม่ช่วยกระตุ้นสมองส่วนการวางแผน ควบคุมตนเอง และตัดสินใจ

5. ยืดหยุ่นต่อความล้มเหลว (Resilience)

• Columbia พบว่า เด็กที่ใกล้ชิดพ่อแม่ ฟื้นตัวจากความผิดพลาดได้เร็วกว่า

6. IQ และ EQ เชื่อมกัน (Cognitive + Emotional Growth)

• UPenn ชี้ว่า ความสัมพันธ์อบอุ่นกระตุ้นทั้งการเรียนรู้เชิงวิชาการและการจัดการอารมณ์ไปพร้อมกัน

7. แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation)

• งานวิจัยของ Yale พบว่า เด็กที่ได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่ จะมีแรงขับภายใน ไม่ต้องพึ่งการบังคับจากภายนอก

8. มีแนวโน้มเป็นผู้นำ (Leadership)

• Harvard Business Review อ้างอิงงานวิจัยว่า ความมั่นใจที่ได้จากบ้าน ทำให้เด็กเติบโตมาเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง

9. ความสัมพันธ์รักคู่ชีวิตมั่นคงกว่า

• Cornell พบว่า เด็กที่ใกล้ชิดพ่อแม่ มีแนวโน้มสร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพในอนาคต → ส่งผลต่อเสถียรภาพชีวิตโดยรวม

10. ลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพจิต

• Yale Psychiatry พบว่า ความผูกพันช่วยลดโอกาสเกิดซึมเศร้าและวิตกกังวลเมื่อโต

11. โอกาสสำเร็จด้านการศึกษา

• Harvard พบว่า เด็กที่สนิทกับพ่อแม่ มีโอกาสเรียนต่อมหาวิทยาลัยสูงกว่าค่าเฉลี่ย

12. สร้างวินัยเชิงบวก

• Columbia ชี้ว่า เด็กที่รู้ว่าพ่อแม่เข้าใจและอยู่เคียงข้าง จะพัฒนาวินัยด้วยแรงผลักจากตัวเอง ไม่ใช่ความกลัว

13. มีทักษะการเจรจาและแก้ปัญหาดี

• UPenn พบว่า เด็กที่ใกล้ชิดพ่อแม่ เรียนรู้การสื่อสารเชิงบวกตั้งแต่เล็ก → โตขึ้นเก่งด้าน negotiation

14. คิดเป็นระบบมากกว่า

• Princeton Research on Organizational Development พบว่า เด็กที่ผูกพันแน่นแฟ้น จะมีการวางแผนเป้าหมายชีวิตชัดเจน

15. โอกาสสร้างรายได้สูงกว่า

• Harvard Grant Study (งานวิจัย 75 ปี) พบว่าความสัมพันธ์ที่ดีในวัยเด็ก เชื่อมโยงกับรายได้และความพอใจในงานที่สูงกว่า

16. เป็นคนที่ “เรียนรู้ตลอดชีวิต”

• Columbia ระบุว่า ความมั่นใจและ curiosity เกิดจากความผูกพัน ทำให้โตขึ้นยังคงใฝ่หาความรู้ใหม่

17. มีสุขภาพกายดีกว่า

• Yale School of Medicine พบว่า เด็กที่โตมากับความสัมพันธ์ที่ดี มีระดับ cortisol (ฮอร์โมนความเครียด) สมดุลกว่า

18. ไม่ตกเป็นเหยื่อการเสพติดง่าย

• Harvard School of Public Health พบว่า เด็กที่สนิทกับพ่อแม่ เสี่ยงติดสารเสพติดต่ำกว่ามาก

19. เป็นผู้ประกอบการได้ง่ายกว่า

• UPenn (Wharton) พบว่า ความมั่นใจและ resilience จากครอบครัว เป็นปัจจัยหลักในการเริ่มธุรกิจและกล้าเสี่ยงอย่างมีระบบ

20. ความสุขในชีวิตระยะยาว

• Harvard Study of Adult Development สรุปว่า “ความสัมพันธ์อบอุ่นในวัยเด็ก” คือ predictor ที่สำคัญที่สุดของความสุขและความสำเร็จในวัยผู้ใหญ่

#ข้อคิด #กำลังใจในทุกวัน #แรงบันดาลใจ #แม่กวางมนุษย์แม่ออนไลน์เงินล้าน #แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต #กำลังใจ #ความสุข #ฝากไว้ให้คิด #พลังบวก #ข้อคิดดีๆในการใช้ชีวิต #ส่งพลังบวก #คุณทำได้ #เลี้ยงลูกเชิงบวก

15/10/2025

ใครที่มีบางช่วงเบลอๆ นึกอะไรไม่ออกเลย อ่านอะไรทำอะไรก็จำไม่ค่อยได้ อีกหลายวันก็ลืมแบบลืมสนิทเลย น้อง Hippocampus ในภาพอาจจะกำลังฝ่ออยู่ค่ะ


วันนี้เลยรวม 3 สิ่งที่ Hippocampus เกลียด มาให้อ่านกัน

Hippocampus หรือ มหาลัยหมูเด้ง
คือสมองส่วนที่ช่วย สร้างความจำระยะยาว, นึกความจำออกมาใช้, วิเคราะห์รูปแบบสิ่งที่พบ แล้วประสานงานศูนย์เตือนภัย หากสิ่งนั้นอันตราย

เรียกได้ว่า ทำหน้าที่ที่โคตรสำคัญ
แต่ดันเปราะสุดๆ เซลล์ประสาทฝ่อได้ง่าย


และนี่คือ 3 สิ่งที่ทำให้น้องฮิปโปเสียหาย
ซึ่งพบได้บ่อยมากขึ้นในยุคปัจจุบันค่ะ


1. เครียดเรื้อรัง/โรคซึมเศร้า

เครียดเรื้อรัง คือภาวะที่อยู่ในสภาพอารมณ์เครียดตลอดเวลา ไม่มีช่วงพักเลย ยาวนานหลายวัน หลายสัปดาห์

แม้ความเครียดเป็นสิ่งที่ดี ทำให้เรารับรู้ถึงภัยและรีบพัฒนาแก้ไขปัญหานั้น แต่มันควรจะมาแล้วมาจบไป ถ้าเพราะอยู่เรื้อรัง ระบบที่ตอบสนองต่อความเครียด เช่น cortisol และ adrenaline จะเริ่มทำร้ายสมอง

ปลุกให้เม็ดเลือดขาว microglia ในสมองหลั่งสารก่ออักเสบ จุดเชื่อมต่อของ hippocampus กับเซลล์อื่นเริ่มเสียหาย ฝ่อลง ทำงานได้น้อยลง

บางคนมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แล้ว
ก็จะพัฒนาเป็นโรคซึมเศร้าได้เลยค่ะ

♥️ อย่าลืมดูแลสุขภาพจิตนะคะ พบจิตแพทย์ได้เลย หากรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เพราะมันอยู่ในจิตใจเรา อยู่อย่างเงียบๆ บางทีคนรอบข้างแทบไม่รู้เลยว่าเราเป็นอะไร


2. การนอนน้อย นอนคุณภาพไม่ดี

การนอนเป็นช่วงสำคัญที่สมองถือโอกาสเปิดโหมดระบายของเสีย ที่เรียกว่า Brain glymphatic แม้ว่าระบบนี้จะทำงานตลอดเวลานั่นแหละ แต่ช่วงนอน จะทำงานมากขึ้นเป็นพิเศษ และช่วงหลับลึกจะยิ่งทำงานมาก

ของเสียที่ว่า เช่น beta-amyloid, p-tau สองตัวนี้สามารถก่อความเสียหายต่อระบบประสาทได้โดยตรง โดยเฉพาะส่วน hippocampus

และยิ่งอายุมากขึ้น มีพันธุกรรมในการเร่งสะสมของเสียมากขึ้นด้วย (เช่น APOE4) อนาคตจะเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมมากขึ้น โดยเฉพาะอัลไซเมอร์

♥️ ให้ความสำคัญกับการนอนเสมอค่ะ นอนให้เพียงพอ 6-9 ชั่วโมง และนอนได้คุณภาพดี หากมีนอนกรนต้องรีบแก้ไขนะคะ หากนอนไม่หลับจริงๆ ปรึกษาจิตแพทย์ค่ะ


3. น้ำตาลในเลือดสูงลอยจากภาวะดื้ออินซูลิน

เมื่อไม่ดูแลสุขภาพกินเยอะ + ไม่ออกกำลังกาย ระบบภายในจะเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเนื้อเยื่อไขมันที่สะสมไขมันจนล้น เบียดกันจนเครียด หลั่งสารอักเสบ จนเหล่าอวัยวะภายในต่าง stress และดื้ออินซูลิน

จังหวะนั้นแหละ น้ำตาลในเลือดจะเข้าเซลล์ยากขึ้น แถมตับยังสร้างเพิ่มขึ้น ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูงลอย แม้จะไม่ได้กินอะไรเข้ามา

น้ำตาลสามารถทำให้เซลล์ที่ดูแลหลอดเลือดสมองตๅย (Pericyte) และยังทำให้โครงสร้างหลอดเลือดเสีย บางส่วนแตกง่าย บางส่วนหนาจนรูตีบ

Hippocampus คือจุดหนึ่งที่ได้รับผลกระทบตรงๆ อาหารและออกซิเจนก็เลี้ยงได้บ้างไม่ได้บ้าง ทำให้คนที่คุมน้ำตาลไม่ค่อยดี มักจะมีปัญหาต่อความจำค่ะ

♥️ ดูแลสุขภาพเสมอ กินให้พอเหมาะ และออกกำลังกายค่ะ

09/10/2025

ถ้าถามว่าอาวุธหลักที่เหล่าเซลล์เม็ดเลือดขาวใช้อะไรที่เก่งที่สุด
คำตอบคือ ‘แอนติบอดี’ ที่เรามักจะใช้ตรวจภูมิต่อการติดเชื้อนั่นแหละ


ความเก่งของมันไม่ใช่เพราะว่ามีพิษรุนแรงต่อเชื้อโรค
แต่ความจริง มันทำอะไรเชื้อโรคโดยตรงไม่ได้เลย

มันแค่ ‘เชื่อมต่อ’ ให้เม็ดเลือดขาว/ระบบอาวุธภูมิคุ้มกัน
รับรู้ว่าข้างหน้านั้นคือเชื้อโรคจริงๆ

ดังนั้นแอนติบอดีมันโหดเพราะว่ามันถูกออกแบบมา
ให้ ‘สวม’ เข้ากับเชื้อโรคเป้าหมายอย่าง แม่นยำ
ดั่งลูกกุญแจกับแม่กุญแจเลยค่ะ


แถมยังมีถึง 5 ชนิดฮะ ดังนี้


1️⃣ IgM
“อาวุธล็อตแรก”

➨ ตัวโคตรใหญ่ 5 แฉก
➨ ออกมาไวมาก แต่จับเชื้อไม่แน่นมาก
➨ สกิลหลัก: ปลดชนวนระเบิ-ดคอมพลีเมนท์
➨ ผล: ได้สารก่ออักเสบ, สารเจาะรูเชื้อโรค, สารช่วยเม็ดเลือดขาวจับกิน

2️⃣ IgG
“อาวุธเล็งเป้าที่ดีสุด”

➨ เพียว กะทัดรัด จับเชื้อโคตรแน่น
➨ ใช้ได้ดีมาก ในแทบทุกสถานการณ์
➨ เวลาเจาะเลือดหาภูมิ มักจะเจอตัวนี้
➨ ทำได้ถึง 4 ฟังก์ชัน
• ปลดทุ่นระเบิ-ดแบบ IgM
• ล็อกไม่ให้พิษหรือไวรัสแตะเซลล์เรา
• ช่วยให้เม็ดเลือดขาวจับกินไวมาก (Opsonin)
• ช่วยให้เม็ดเลือดขาวจับยิงทิ้ง (ADCC)

3️⃣ IgA
“อาวุธแนวหน้าประจำกำแพง”

➨ มาเป็นสองแฉก จับเชื้อได้สองมุม
➨ อยู่ที่ผิวทางเดินอาหาร/ทางเดินหายใจ
➨ เหมือนทีมอยู่นอกกำแพง คอยสะกัดเชื้อก่อนเข้าเลย
➨ สำคัญมากในการป้องกันไม่ให้เชื้อเข้ามาตั้งแต่แรก

4️⃣ IgE
“อาวุธปลดชนวนระเบิ-ด”

➨ เพียว แต่เงื่อนไขการใช้ต้องจับหลายๆ จุด (cross-link)
➨ เม็ดเลือดขาวใช้งานได้คือทีมกำจัดหนอนพยาธิ
➨ ได้แก่ แมสต์เซลล์, เบโซฟิล, อีโอซิโนฟิล
➨ เน้นให้จับแล้ว เม็ดเลือดขาวละเลงสารพิษใส่

5️⃣ IgD: ปัจจุบันยังไม่พบบทบาทแน่ชัด น่าจะแนว support


⚠️ ดังนั้นแอนติบอดีเป็นของช่วยภูมิคุ้มกัน
มันไม่ได้กำจัดได้เอง และแน่นอนมันไม่ได้จับแล้วตกตะกอน
ที่ท่องกันว่าจับแล้วตกตะกอน มันคือปฏิกิริยาทดสอบหมู่เลือดจ้า

07/10/2025
07/10/2025

โอ๊ยยยย รางวัลโนเบล 2025 สาขาการแพทย์ปีนี้ที่เพิ่งประกาศไป ตรงกับเพจพอดี แถมเป็นเซลล์ที่เพจเรา และเพจในทีม เช่น Tensia โพสบ่อยมากกก

นั่นคือรางวัลโนเบล ผู้ค้นพบ
เซลล์ Regulatory T cell (Treg)

เซลล์ที่ทำให้มนุษย์รอดจากภูมิคุ้มกันทำลายอวัยวะตัวเองค่ะ เพราะเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ประหลาด แทนที่จะหลั่งสารก่ออักเสบเรียกพรรคพวก กลับหลั่งต้านอักเสบยับยั้งพวกเดียวกันเอง (สารชื่อ IL-10, TGF-b)

น้อง Treg จะชอบมาตอนที่กำจัดเชื้อโรคเสร็จแล้ว น้องจะคอยออกมาเบรกให้ทีมภูมิคุ้มกันหยุดค่ะ เพื่อเร่งการฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหายต่อ

ตอนที่ไม่ได้มีเรื่องอะไร น้องจะคอยหลั่งสารต้านอักเสบให้ร่างกายสงบ และแน่นอน ช่วยทำให้บรรดาภูมิคุ้มกันกบฏ ไม่แผลงฤทธิ์ แล้วมีโอกาสโดนกำจัดออกไปได้


โดยผู้ที่ได้รางวัลโดนเบลคือ

1. Shimon Sakaguchi - เป็นคนแรกเลยค่ะ ที่ค้นพบเซลล์ชนิดนี้ในปี 1995 เพราะก่อนหน้านั้น โลกรู้จักแต่ T cell ชนิดสายบริหาร (T helper cell: CD4+) กับสายนักฆ่ๅ (Cytotoxic T cell: CD8+)

แต่ท่านเป็นคนแรกเลยที่พบว่าเซลล์ที่มีโปรตีน CD4 อยู่บนผิว บางตัวไม่ใช่ T helper cell ว่ะ แถมมีโปรตีน CD25 ด้วย ซึ่งไม่พบใน T helper cell

แล้วทำหน้าที่หลั่งสารต้านอักเสบเป็นหลักเลย เพื่อไม่ให้เม็ดเลือดขาวตัวอื่นโจมตีเนื้อเยื่อตัวเอง

และเขาก็พบด้วยว่ายีน FOXP3 เป็นหนึ่งในรหัส DNA สำคัญที่ทำให้ T cell ตัวอ่อนพัฒนาร่างเป็นเซลล์ชนิดนี้


2. Mary E. Brunkow และ Fred Ramsdell - ค้นพบว่าหนูที่มีแผลตามอวัยวะต่างๆ แบบเยินๆ และตๅยไวมาก มีการกลายพันธุ์ของยีนหนึ่ง ทั้งสองคนตั้งชื่อว่า scurfin

ซึ่งตอนหลังค้นพบว่ามันคือตัวเดียวกับ FOXP3
และพบว่าถ้าการกลายพันธุ์เกิดในมนุษย์ จะทำให้เกิดโรค IPEX ซึ่งเป็นโรคพันธูกรรมที่มีภูมิคุ้มกันทำร้ายอวัยวะหลายอวัยวะเลยค่ะ

และต่อมาก็ค้นพบว่า FOXP3 นี่แหละ ทำให้ให้กำเนิด T cell ชนิด Treg


ซึ่งการที่ Treg ทำงานลดลง อาจเป็นหนึ่งในเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิด SLE, รูมาตอยด์ขึ้นมาด้วยค่ะ


สำหรับคนสุขภาพดี หรือเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำร้ายอวัยวะตัวเองไปแล้ว จริงๆ สามารถทำเพิ่มพลังให้ Treg ทำงานได้ดีค่ะ ด้วยการนอนหลับให้เพียงพอ และออกกำลังกายค่ะ เพราะฮอร์โมนจากกล้ามเนื้อจะช่วยเพิ่มจำนวน Treg ให้ดูแลเรา ป้องกันไม่ให้เกิด และถ้ามีโรคแล้วก็ช่วยคุมอาการค่ะ


ปล. จริงๆ บทความชอบใช้คำว่า Peripheral tolerance ต้องกล่าวว่ากลไก peripheral tolerance มีหลายกลไกค่ะ Treg เป็นแค่หนึ่งในนั้น กลไกที่ตำราเขียนบ่อยมากกว่าคือ Anergy

18/09/2025

สมองของคนติดน้ำตาลเหมือนแบบเดียว กับสมองของคนที่ติด โคเคน
หลายคนเชื่อว่า “น้ำตาล = แค่พลังงาน”
แต่จริงๆ แล้ว สมองเราตอบสนองต่อน้ำตาล เหมือนกับเวลาคนเสพโคเคน Dopamine พุ่ง, ความอยากอาหารเพิ่ม และรู้สึกเสพติดมัน
Dr. Robert Lustig (Pediatric Endocrinologist, ผู้ศึกษาน้ำตาลกว่า 40 ปี, ผู้เขียน Fat Chance ) บอกว่า
Sugar isn’t sweet. It’s slow poison
น้ำตาลไม่ใช่ แค่เรื่องความหวานแต่มันคือ
การค่อยๆหยอดยาพิษเข้าร่างกายเรา

ลองมาดู [6] ข้อความจริงเกี่ยวกับน้ำตาล และวิธีป้องกันให้ดีขึ้นกัน
#อ่านจบปุ๊ปเก่งขึ้นปั๊ป
+++++++++++++++

[1] เราไม่ได้แค่ชอบของหวาน แต่จริงๆเราเหมือนเสพติดมัน
ในน้ำตาลจะประกอบด้วย Sucrose (Glucose + Fructose)
จำง่ายๆว่า
Glucose = พลังงานที่ร่างกายเราเอาไปใช้จริงๆ
Fructose = พลังงานที่ ตับต้องจัดการ
Fructose(น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว) จะเข้าไปกระตุ้น Nucleus Accumbens ศูนย์รางวัล (Reward Center) ของสมองเรา (อารมณ์แบบติดสินบน5555)
สมองจะหลั่ง Dopamine (ฮอโมนแห่งความสุข) เหมือนกับโคเคน (Pattern กลไกลแบบเดียวกัน)
- ตอนแรกเราจะรู้สึก "ฟิน" ช่วงๆแรกๆ แฮปปี้ สดชื่น
- จากนั้น Dopamine จะลดลง
- พอมันลดลงเยอะๆสมองก็จะกระตุ้นใหม่(ขอสินบน) ทำให้อยากกินเพิ่มอีก
- พอเราทำแบบนี้ไปนานๆ สมองจะเริ่มดื้อยา อยากได้ Dose น้ำตาลที่มากขึ้น ไปๆมาเราก็เลยเสพติดมัน
ถ้าอยากเลิกติด
🟢 ต้องยอมรับก่อนว่า การติดหวาน = การเสพติดรูปแบบนึง
🔴 อย่าคิดว่า “ชอบกินเฉยๆ” การบอกว่าชอบกินของหวานทำให้เรารู้สึกว่าจะทำหรือไม่ทำก็ได้ (แต่จริงๆเราควบคุมไม่ได้)

---------------------------
[2] ตับเราคือโรงงานที่รับกรรมแทนน้ำตาล (ไขมันพอกตับ)
ทีนี้จาก ข้อ [1] ครึ่งนึงของน้ำตาลคือ Fructose
Fructose จะไม่ได้เข้าไปเลี้ยงสมองหรือกล้ามเนื้อเหมือน Glucose เลย แต่ถูกส่งตรงไปที่ ตับ แบบ 100%
ตับก็เลยต้องทำงานหนัก เอา Fructose ไปเปลี่ยนเป็นไขมัน → ถ้ามีเยอะเกินไป = ไขมันพอกตับ (Fatty Liver)
Dr. Robert Lustig เรียก Fructose ว่า
“Ethanol without the buzz.”
มันคือแอลกอฮอล์ที่ไม่มีอาการเมา แต่ทำลายตับเราตลอด
เมื่อไขมันสะสมในตับมากขึ้น ร่างกายจะเริ่ม ดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance)
ผลลัพธ์คือ: เบาหวาน ,ความดันสูง ,น้ำหนักเกินแบบลดไม่ลงสักที
เตือนตัวเองไว้ว่า
🔴 อย่าคิดว่า “น้ำผลไม้ 100%” คือ healthy choice เพราะ Fructose จัดเต็มพอๆ กับน้ำอัดลมเลยเลย

--------------------------
[3] อินซูลินสูง = จะลดน้ำหนักยากมากๆ
หลายคนพยายาม “นับแคลอรี่” เพื่อลดน้ำหนัก แต่ Dr. Lustig บอกว่า…
“It’s not about calories. It’s about insulin.” (Metabolical)
เพราะเวลาที่เรากินน้ำตาล → ตับจะผลิตไขมัน → อินซูลินในเลือดพุ่งสูง
อินซูลินคือ ฮอร์โมนเก็บพลังงาน → สั่งให้ร่างกายเก็บไขมันแทนการเผาผลาญ
ที่แย่กว่านั้นคือ อินซูลินสูงเรื้อรังจะไป Block Leptin (ฮอร์โมนที่บอกว่า “เราอิ่มแล้ว”)
สมองเลยเข้าใจผิด → คิดว่า เรา“ยังหิวอยู่” ทั้งที่จริงๆ เรามีพลังงานแล้ว
ผลลัพธ์คือ วงจรอ้วนไม่รู้ตัว: กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม อยากของหวาน+คาร์บตลอด
🟢 ถ้าอยากลดน้ำหนักจริง → ต้องลดน้ำตาลและคาร์บขัดสีเพื่อลดอินซูลินก่อน
🔴 อย่าเสียเวลา “นับแคล” อย่างเดียวต้องเลือกประเภทของสารอาหารด้วย

-------------------------
[4] การกิน น้ำอัดลม 0 แคล = ก็ยังมีผลที่ไม่ดีอยู่
หลายคนคิดว่า “เลิกน้ำอัดลม มาดื่ม Diet Soda = ปลอดภัยกว่า”
แต่ Dr. Robert Lustig บอกใน The Diary of a CEO ว่า

“One sugared soda equals two diet sodas.”
น้ำอัดลม Diet 2 กระป๋อง = น้ำอัดลมปกติ 1 กระป๋อง
เพราะอะไร?

แค่ รสหวาน แตะลิ้น สมองก็ส่งสัญญาณไปตับให้ หลั่งอินซูลิน เหมือนกำลังมีน้ำตาลจริง
อินซูลินพุ่ง = กระตุ้นการเก็บไขมัน, ความเสี่ยงโรคหัวใจ, มะเร็ง, สมองเสื่อม
ที่น่าปวดหัวกว่านั้นคือ -> สารให้ความหวาน (aspartame, sucralose) มันไม่ได้ทำให้เราอ้วนจากแคลอรี่โดยตรง แต่มันไปพัง Microbiome (จุลินทรีย์ดีๆ ในลำไส้)
- จุลินทรีย์ดีหายไปจะเกิด Effect แบบนี้
1.จุลินทรีย์ดีหายไปเหลือแต่จุลินทรีย์ที่ไม่ดี
2.Leaky Gut (ผนังลำไส้รั่ว) จุลินทรีย์ร้ายและสารพิษเล็ดรอดเข้าสู่กระแสเลือด
3.Systemic Inflammation (การอักเสบเรื้อรังทั้งร่างกาย) → ต้นตอของโรคอ้วน, เบาหวาน, ซึมเศร้า, ไปจนถึงสมองเสื่อม
นี่คือเหตุผลที่คนเลิกน้ำอัดลมไปดื่ม Diet Soda แล้วน้ำหนักไม่ลง แถมสุขภาพยังพังต่อ
🟢 ถ้าอยากปลอดภัยจริง -> ดื่มน้ำเปล่า, ชาไม่หวาน, น้ำแร่
🔴 ระวังคำว่า Zero Sugar ไม่ได้แปลว่า Zero Risk

--------------------------
[5] Silent Killers = น้ำตาลคือต้นเหตุของโรคเรื้อรังต่างๆ
อินซูลินสูง + การอักเสบเรื้อรังจากน้ำตาล มันไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องอ้วนหรือพลังงาน แต่คือ ต้นเหตุของโรคเรื้อรังเกือบทุกอย่าง
- น้ำตาล กับ หัวใจ: อินซูลินกระตุ้นให้ผนังหลอดเลือดหนาตัว → หัวใจทำงานหนักขึ้น → เสี่ยง Heart Attack และ Stroke

- น้ำตาล กับ มะเร็ง: อินซูลินคือ “Growth Factor” ที่ไปเลี้ยงก้อนเนื้อร้าย → ทำให้โตเร็วกว่าเดิม (คนเป็นเบาหวานมีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น 2 เท่า)

- น้ำตาล กับ สมอง: น้ำตาลและอินซูลินทำให้สมอง “ดื้อต่ออินซูลิน”
นักวิทยาศาสตร์บางคนเรียก Alzheimer’s (อัลไซร์เมอร์) ว่า “Type 3 Diabetes” (เบาหวานชนิดที่ 3)
Dr. Robert Lustig พูดในหนังสือ Metabolical ว่า

“Metabolic syndrome is the plague of the 21st century and sugar is its fuel.”
"โรคระบาดในศตวรรษนี้ไม่ใช่ไวรัส แต่คือ "การเผาผลาญที่ผิดปกติ" และน้ำตาลคือเชื้อเพลิงของโรคนี้"
🟢 ลดอาหาร/เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลแฝง เลือกอาหารจริง (real food)
🔴 อย่าหลงกลคำว่า “Healthy” บนฉลาก เพราะอุตสาหกรรมอาหารชอบใช้คำนี้เพื่อซ่อนน้ำตาล

-------------------
[6] วิธีป้องกัน = ไม่ใช่เลิก แต่คือ “เลือก”
Dr. Robert Lustig ไม่ได้บอกให้ทุกคนเลิกหวาน 100% เพราะมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ในโลกจริง แต่เขาบอกใน Fat Chance ว่า
“The dose makes the poison.”
ยาพิษทุกชนิด ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ได้รับ น้ำตาลก็เหมือนกัน
สิ่งที่เราทำได้คือ เลือกให้เป็น
ลองปรับพฤติกรรมตามนี้ดู

-เลี่ยงน้ำตาลในน้ำ: น้ำอัดลม, ชานม, น้ำผลไม้กล่อง คือแหล่ง Fructose ที่ร่างกายจัดการไม่ได้จริงๆ

- กินอาหารจริงๆที่ไม่แปรรูป (Real Food): อาหารที่ออกมาจากดิน หรือจากสัตว์ที่กินของจากดิน ช่วย ลดภาระให้ตับ ลดภาระอินซูลิน

- หวานธรรมชาติพอได้: ผลไม้สดทั้งผลกินได้ (มีไฟเบอร์ช่วยลดผลกระทบ) แต่ไม่ควรคั้นแยกน้ำ

- อ่านฉลากให้เป็น: คำว่า “Healthy” บนกล่อง = สัญญาณเตือนให้อ่านดีๆ เพราะมักซ่อนน้ำตาลไว้

🟢 ปรับจาก “เลิกไม่ได้” เปลี่ยนวิธีคิดเป็น “เราเลือกได้”
🔴 อย่าหลอกตัวเองด้วยของ Zero Sugar, Low Fat ที่จริงคือแค่เปลี่ยนรูปแบบยาพิษ

+++++++++++++++
#สรุปแบบลงดาบ

-น้ำตาลไม่ใช่แค่ความหวาน แต่มันเสพติดสมองเหมือนโคเคน

-Fructose = ภาระตับ → ไขมันพอกตับ + เบาหวาน

-อินซูลินสูง = น้ำหนักถูกล็อก ลดเท่าไรก็ไม่ลง

-Diet Soda ก็ไม่ได้ปลอดภัย → พัง Microbiome, ลำไส้รั่ว, อักเสบเรื้อรัง

- น้ำตาลคือเชื้อไฟโรคเรื้อรัง: หัวใจ, มะเร็ง, Alzheimer’s

- ไม่ต้องเลิกหวาน แต่ต้อง “เลือกให้เป็น” เลี่ยงน้ำตาลในน้ำ, กินอาหารไม่แปรรูป, อ่านฉลากให้มากขึ้น
ใครที่ยังไม่ได้ปรับตัว… วันนี้ยังไม่สายไป
เพราะร่างกายเราถูกสร้างมาเพื่อ “ปรับตัวและฟื้นฟู”
แค่เริ่มลดทีละน้อย, เลือกอาหารสดมากขึ้น, ลดของหวานสักหน่อย
เราจะเห็นพลังงานกลับมา สมองดีขึ้น และสุขภาพเริ่มฟื้นกลับมา
ทุกการเลือกของเข้าปากวันนี้ = การลงทุนในร่างกายของเรา
ในอนาคต
ผมหวังว่าเรื่องนี้จะช่วยสร้างวันของคุณ

12/09/2025

5 วิธีทำให้ลูกสูงกว่าเรา!

1️⃣
1. เด็กจะสูงถึงเมื่อไหร่ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย?
คุณพ่อคุณแม่เคยสงสัยไหมว่า ลูกเราจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงเมื่อไหร่? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเพศและช่วงวัยเป็นอย่างมากครับ ในกรณีของเด็กผู้หญิง ส่วนใหญ่จะหยุดสูงเมื่อถึงช่วงอายุประมาณ 16-18 ปี นั่นเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ทำให้แผ่นกระดูก (epiphyseal plate) ปิดเร็วขึ้นกว่าผู้ชาย
ส่วนเด็กผู้ชาย จะมีช่วงเวลาในการเติบโตนานกว่าเล็กน้อย ส่วนใหญ่แล้วจะหยุดสูงที่ช่วงอายุ 18-21 ปี เหตุผลก็คือฮอร์โมนเพศชายหรือเทสโทสเตอโรนจะส่งผลให้การปิดแผ่นกระดูกเกิดช้ากว่าผู้หญิงนิดหน่อย ดังนั้น ผู้ชายมักจะมีช่วงเวลาที่ "สูงขึ้น" ได้นานกว่าผู้หญิง และช่วงเวลาสำคัญที่ต้องใส่ใจในการเติบโตคือก่อนวัยรุ่นครับ ถ้าช่วงนี้ทำได้ดี ทั้งเรื่องโภชนาการ การนอน และการออกกำลังกาย จะช่วยให้ลูกสูงได้อย่างเต็มศักยภาพ

2️⃣
2. โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) คือกุญแจสำคัญ แล้วเราจะทำอย่างไรให้หลั่งได้ปกติ?
โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) เป็นฮอร์โมนหลักที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูกและกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น ซึ่งช่วงเวลาที่โกรทฮอร์โมนหลั่งมากที่สุดคือช่วงเวลาที่หลับลึก (deep sleep) นั่นหมายความว่าการนอนหลับที่มีคุณภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก แต่ไม่ใช่แค่การนอนเท่านั้นนะครับ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการหลั่งโกรทฮอร์โมน เช่น การรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการออกกำลังกาย
เราสามารถส่งเสริมให้โกรทฮอร์โมนหลั่งได้ปกติด้วยการทำสิ่งเหล่านี้:
•การนอนหลับที่มีคุณภาพ ควรนอนให้ได้อย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงต่อคืน โดยช่วงเวลาหลับลึกคือช่วงเวลาที่ร่างกายผลิตโกรทฮอร์โมนมากที่สุด
•การออกกำลังกาย การออกกำลังกายแบบกระโดด เช่น บาสเกตบอล หรือการว่ายน้ำ ช่วยกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมนได้ดี
•การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ปลา และนม รวมถึงผักผลไม้ที่มีวิตามินและแร่ธาตุ ช่วยเสริมการทำงานของโกรทฮอร์โมนได้
ดังนั้น ถ้าคุณอยากให้ลูกสูง การสร้างนิสัยการนอนที่ดีและส่งเสริมการออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจอย่างจริงจังครับ

3️⃣
3. อย่าละเลยการวัดส่วนสูงและน้ำหนัก
เชื่อไหมครับว่าหลายบ้านไม่ค่อยได้วัดส่วนสูงและชั่งน้ำหนักลูกเลย? นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามนะครับ การวัดส่วนสูงและน้ำหนักเป็นประจำไม่เพียงแค่ช่วยให้เราติดตามการเติบโตของลูกได้เท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรารู้ว่าลูกมีปัญหาด้านการเติบโตหรือไม่
ทำไมการวัดส่วนสูงถึงสำคัญ?
การวัดความสูงเป็นประจำจะช่วยให้เรารู้ได้ทันทีว่าลูกเรามีการเติบโตที่เหมาะสมหรือไม่ เด็กที่เติบโตช้าอาจมีปัญหาทางสุขภาพ เช่น ภาวะโภชนาการไม่ดี หรือปัญหาฮอร์โมนต่างๆ ที่อาจต้องได้รับการรักษา
การชั่งน้ำหนักเป็นประจำช่วยให้เราติดตามการเติบโตของกล้ามเนื้อและไขมันของลูกได้ หากน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐานอาจแสดงถึงปัญหาทางโภชนาการ ในขณะที่น้ำหนักเกินก็เป็นสัญญาณที่ต้องจัดการเรื่องอาหารและการออกกำลังกาย
วิธีปฏิบัติที่ง่าย
วัดความสูงและชั่งน้ำหนักลูกทุกเดือน เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่สามารถเปรียบเทียบกับมาตรฐานการเติบโตได้ และหากมีความผิดปกติจะสามารถปรึกษาแพทย์ได้ทันเวลา

4️⃣
4. กินอย่างไรที่จะทำให้ลูกสูงเกินค่าเฉลี่ย
อาหารที่เราทานเข้าไปส่งผลโดยตรงต่อความสูงของลูกครับ โดยเฉพาะสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโต เช่น โปรตีน แคลเซียม วิตามินดี และแร่ธาตุอื่นๆ การเลือกอาหารให้ถูกต้องจะช่วยให้ลูกสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยได้ ลองดูวิธีปฏิบัติง่ายๆ ดังนี้:
•โปรตีน โปรตีนเป็นสารอาหารหลักที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก แหล่งโปรตีนที่ดี ได้แก่ เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ถั่ว และผลิตภัณฑ์นม
•แคลเซียม แคลเซียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูก การดื่มนมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต และชีส รวมถึงการรับแคลเซียมจากแหล่งพืช เช่น บรอกโคลีและเต้าหู้ ก็มีประโยชน์
•วิตามินดี วิตามินดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น แหล่งที่ดีของวิตามินดีคือแสงแดด ดังนั้นควรให้ลูกได้ออกไปสัมผัสแสงแดดอ่อนๆ ช่วงเช้าหรือเย็น นอกจากนี้ยังสามารถรับจากอาหาร เช่น ปลาแซลมอน ตับ และไข่แดง
•ธาตุเหล็ก ธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งพบมากในเนื้อแดงและพืชใบเขียว
การกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุล จะช่วยให้ลูกมีโอกาสสูงขึ้นได้แน่นอนครับ

5️⃣
5. การออกกำลังกายและการนอนอย่างไรจะช่วยให้เด็กเข้าสู่ช่วงหลับลึกได้เร็วขึ้น
การออกกำลังกายและการนอนหลับเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ทั้งสองอย่างนี้ส่งผลต่อการหลั่งของโกรทฮอร์โมนอย่างมากครับ การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตและการสร้างกระดูก ส่วนการนอนหลับอย่างเพียงพอช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและผลิตฮอร์โมนได้เต็มที่
แล้วออกกำลังกายอะไรดี?
•การออกกำลังกายแบบที่มีแรงกระแทกเบาๆ เช่น การกระโดดเชือก บาสเกตบอล และว่ายน้ำ ช่วยกระตุ้นการยืดตัวของกระดูก
•การยืดกล้ามเนื้อหรือโยคะก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้กระดูกและกล้ามเนื้อผ่อนคลาย ซึ่งช่วยให้ร่างกายสามารถเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น
การนอนหลับที่ดีมีความสำคัญอย่างไร?
•เด็กควรนอนหลับอย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงต่อคืน โดยเฉพาะช่วง 22:00-02:00 น. ที่เป็นช่วงที่ร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมนมากที่สุด
•การทำให้บรรยากาศห้องนอนเงียบและมืดสนิท ช่วยให้เข้าสู่ช่วงหลับลึกได้เร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้ร่างกายฟื้นฟูและเติบโตได้อย่างเต็มที่
ถ้าลูกได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและนอนหลับให้เพียงพอ รับรองได้เลยว่าเขาจะมีโอกาสสูงกว่าเราแน่นอนครับ ใครมีคำถามคอมเมนต์ไว้ได้เลยนะ

10/09/2025

สรุปกลไกโรคกลุ่ม Thalassemia
โดยจะเน้นชนิดรุนแรง (β-thal/HbE, Homoβ) ส่วนพาหะอยู่ข้อสุดท้ายค่ะ


1️⃣ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ hemoglobin (Hb)

⊚ เม็ดเลือดแดง (RBC) มี Hb ไว้ขนส่ง O₂
⊚ Hb ประกอบ Hb ย่อย 4 ตัว
⊚ 1Hbย่อย = Heme ประกอบกับ Globin
⊚ Heme: มีธาตุเหล็ก เป็นส่วนจับกับ O₂
⊚ Globin: ควบคุมโดย DNA มีสองชนิด α,β
⊚ กฎเหล็กคือ Globin สาย α ต้องจับกับสาย β
⊚ ดังนั้น 1Hb จะมี α 2 ตัว, β 2 ตัว

สรุป: สารขนส่ง O₂ ชื่อ Hb มีโปรตีน globin ต้องจับเป็นคู่ๆ α-globin + β-globin


2️⃣ ทาลัสซีเมียคืออะไร

⊚ โรคกรรมพันธุ์ที่สร้าง α-globin หรือ β-globin ลดลง
⊚ หัวใจของโรคนี้คือ มันทำให้สายที่ปกติมันเกิน
⊚ เช่น เด็กเป็นทาลัสซีเมียชนิด β แบบรุนแรง
= β ต่ำลง, α ที่ปกติ แต่หาคู่ไม่ได้
⊚ ตัวที่หาคู่ไม่ได้จะก่อหายนะแก่เม็ดเลือดแดง

สรุป: โรคนี้คือ ‘บาง’ โปรตีนสร้างลดลง ทำให้อีกชนิดที่ต้องเข้าคู่ ไม่มีคู่ วิ่งไปจับนั่นจับนี่จนเกิดอันตราย


3️⃣ ทำไมทาลัสซีเมียทำให้โลหิตจางรุนแรง

⚠️ พูดเฉพาะกรณีทาลัสซีเมียชนิด β แบบรุนแรง

⊚ เม็ดเลือดแดงตัวอ่อน (Blast) เริ่มสะสม α เกิน
⊚ α-globin จะพา heme ไปเกาะที่เยื่อหุ้ม
⊚ แต่ heme มีเหล็กด้วยจึงเร่งสร้างพิษ ·OH
⊚ พิษเข้าทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ blast รุนแรง
⊚ ตัวที่ทนไม่ไหว ตา.ยคาไขกระดูก
⊚ ตัวที่ทนไหว จะอายุสั้น สุดท้ายโดนตับม้ามกำจัด
⊚ จึงเหลือเม็ดเลือดแดงใช้งานได้น้อยมาก

สรุป: Globin ส่วนเกินสร้างพิษเม็ดเลือดแดงตัวอ่อนจนตา.ยคาไขกระดูก ตัวที่รอดก็อายุสั้น โดนตับม้ามกำจัด


4️⃣ ทำไมทาลัสซีเมียถึงมีดีซ่าน

⊚ เม็ดเลือดแดงตา.ยทั้งในไขกระดูกและตับม้าม
⊚ เม็ดเลือดขาวเปลี่ยน heme เป็นสารเหลือง (Bilirubin)
⊚ เหตุที่เปลี่ยเพราะว่าสารเหลืองปลอดภัยกว่า
⊚ สารเหลืองจะไปตับ ตับจะขับทางน้ำดี ปล่อยทางอึและไต
⊚ แต่เนื่องจากเม็ดเลือดตา.ยเยอะเกินตับรับไม่ทัน
⊚ สารเหลืองจึงคั่งตามผิวหนังและตาขาว จนดีซ่าน (Jaundice)

สรุป: เม็ดเลือดแดงตา.ยเยอะเกิน สารเหลืองที่ปล่อยออกมา ตับจัดการไม่ทัน จนคั่งตามผิวหนัง/ตาขาว เกิดดีซ่าน


5️⃣ ทำไมทาลัสซีเมียจึงมีตับม้ามโตมาก

กลไก 1:
⊚ ตับม้ามต้องกำจัดเม็ดเลือดแดงที่ยับเยินจากพิษทั้งวัน
⊚ ทีมกำจัด (RES) จึงของบ ขยายกิจการเพราะงานหนักขึ้น
⊚ ตับม้ามอนุมัติ ทีมกำจัดจึงขยายพื้นที่รุนแรง
⊚ ตับม้ามจึงโต

กลไก 2:
⊚ ไขกระดูกแวดล้อมแย่มาก เพราะตัวอ่อนตา.ยรัวๆ
⊚ เซลล์ต้นกำเนิดขอย้ายสถานที่ ที่แวดล้อมดีกว่า
⊚ จึงขอไปสร้างเม็ดเลือดต่อที่ตับม้าม เพราะอดีตเลยทำงานที่นี่
(Extramedullary hematopoiesis)

สรุป: ตับม้ามโต เพราะ 1.ทำลายเม็ดเลือดแดงเยอะ 2.กลายเป็นสถานที่สร้างเม็ดเลือดชั่วคราว


6️⃣ ทำไมทาลัสซีเมียจึงมีภาวะเหล็กเกิน

กลไก1:
⊚ ตัวอ่อนที่ตา.ยในไขกระดูก ปล่อยสารขอความช่วยเหลือ
⊚ สารนั้น (TWG1, GDF15) ไปบอกตับให้ลดผลิต Hepcidin
⊚ Hepcidin เดิมทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ลำไส้ดูดซึมเหล็กมากไป
⊚ พอ Hepcidin ลดลง จึงเพิ่มการดูดซึมเหล็กจากอาหารมาก

กลไก2:
⊚ โลหิตจากที่รุนแรง ทำให้ต้องการรับเลือดบ่อย
⊚ การรับบ่อยนำมาซึ่งเหล็กที่มากขึ้น

⚠️ กลไก 1 เด่นในรายที่รับเลือดไม่บ่อยมาก


7️⃣ ดูแลรักษายังไง

✅ ชนิดรุนแรง ต้องรับเลือดสม่ำเสมอ
✅ เช็คสภาวะเหล็กเกินเสมอ เพื่อรับยาขับเหล็ก
✅ ระมัดระวังการติดเชื้อ
✅ ดูแลโภชนาการให้ดี เพราะร่างกายอยู่ในภาวะ stress ตลอด
✅ หายได้ด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก
✅ ป้องกันได้ด้วยการวางแผนก่อนมีบุตร


8️⃣ สำหรับพาหะธาลัสซีเมีย

มีได้หลากชนิดมากค่ะ
🎯สายแอลฟ่า: α-thal1 trait, α-thal2 trait, Hb CS trait
🎯สายเบต้า: β-thal trait, Hb E trait

✅ ไม่มีกลไก 3-6 เลย หรือมีเบามาก ทำให้โลหิตจางนิดหน่อย, มีเม็ดเลือดแดงตัวเล็กเล็กน้อย
✅ มักไม่มีอาการใดๆ หากจู่ๆ มีซีดมากขึ้น ใจสั่น วูบ ควรตรวจเพิ่มเติมอาจเป็นจากอย่างอื่น
✅ บางชนิดเช่น Homozygous Hb E อาจจะโลหิตจางเยอะหน่อย (ระดับปานกลาง) มีอากาได้
✅ หากจำได้แค่ว่าพาหะ ควรตรวจให้แน่ชัดด้วย Hb typing หรือในบางชนิดที่แยกไม่ได้อย่าง alpha-thal1 trait อาจต้องตรวจเพิ่มพิเศษ เช่น ตรวจ DNA probe analysis
✅ ใช้ชีวิตได้ตามปกติ กินอาหารตามปกติ ไม่ต้องกินธาตุเหล็กเพิ่ม แต่อาจกินโฟเลตเพิ่มหรือไม่ก็ได้
✅ วางแผนก่อนมีบุตรเสมอ เพราะถ้าคู่ครองมีพาหะในกลุ่มเดียวกัน (แอลฟ่าเหมือนกัน เบต้าเหมือนกัน) มีโอกาสที่บุตรจะเป็นชนิดรุนแรงแบบในบทความได้

10/09/2025

🏃‍♀️ เรื่องนี้หลายคนไม่ค่อยรู้ค่ะว่า ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ ให้น้องช่วยดูแลเรา ป้องกันดื้ออินซูลิน/ความดัน/ซึมเศร้า สารพัดเลยค่ะ


🦠 ภาพนี้ไม่ใช่แบคทีเรียที่กำลังทำร้ายเรานะคะ
แต่เป็นน้องชุมชนแบคทีเรียอาศัยตามผิวลำไส้

⚙️ ทำงานอย่างขยันขันแข็ง สร้างสารที่มีประโยชน์มากมาย เช่น กรดไขมันสายสั้นที่บำรุงผิวลำไส้และต้านอักเสบ, สารอนุพันธุ์ของกรดอะมิโน tryptophan ที่ใช้สร้างสารสื่อประสาทได้

ซึ่งถ้าน้องทำงานดี จะทำให้
✔️ แนวกั้นลำไส้เราดี สารอักเสบต่างๆ กระจายเข้าเลือดได้ยาก
✔️ หลั่งสารต้านอักเสบ และต้านภาวะดื้ออินซูลินได้ดีมาก
✔️ กระตุ้นระบบประสาทร่างแหที่ลำไส้ (ENS) สร้างแกนเชื่อมกับสมอง (Brain - Gut axis) ทำให้สมองส่วนอารมณ์และพฤติกรรมแตกแขนง ทำงานได้เป็นปกติ
✔️ ป้องกันสารพัดโรคตั้งแต่ ดื้ออินซูลิน/เบาหวาน, ความดันสูง รวมไปถึงโรคซึมเศร้า


🤝 เหมือนกับเราให้ที่อยู่น้อง ดูแลความปลอดภัยน้อง น้องก็ทำงานสร้างสารที่ช่วยดูแลทั้งร่างกายให้เรา บางวันน้องก็มีโบนัส ได้เส้นใยที่เรากินเข้ามา มาให้น้องกินด้วย

⚔️ แต่น้องเองก็ต้องสู้กับแบคทีเรีย ‘กลุ่มเกเร’ ที่มักสร้างสารก่ออักเสบ (LPS, TMAO) ก่อเรื่องตลอด โดยน้องจะคอยคุม ‘พื้นที่’ กลุ่มนี้เอาไว้ ดั่งสงครามยุคโบราณ


วิธีดูแลน้องที่รู้จักกันมานานแล้ว คือกินอาหารที่มีเส้นใย เช่น ผัก, ผลไม้

แต่ยังมีอีกวิธีนึงที่ดูแลน้องได้ค่ะ นั่นคือ ออกกำลังกาย (อีกแล้ว) เพราะมันปรับแวดล้อมสารพัดเลยค่ะ


1️⃣ ซ้อมให้ลำไส้เครียด จากการที่ได้รับเลือดน้อยลงชั่วคราว ทำให้กระตุ้นยีนที่เสริมความแข็งแกร่ง (HIF-1a) มากขึ้น แวดล้อมดีขึ้น แบคทีเรียอยู่ได้ดีขึ้น

2️⃣ Lactate ที่ปล่อยออกมาจากกล้ามเนื้อ เป็นอาหารที่แบคทีเรียชอบมาก โดยเฉพาะสกุล Veillonella spp. ยิ่งกินยิ่งคึกเลย โตไว ขยันขึ้น

3️⃣ ช่วยทำให้ช่วงพัก ระบบประสาทผ่อนคลาย Parasympathetic กระตุ้นการทำงานลำไส้ดีขึ้น สร้างเมือกได้เป็นปกติ แวดล้อมปกติ แบคทีเรียอยู่ได้ยาวขึ้น

4️⃣ ลดการอักเสบทั่วๆ รวมทั้งที่ลำไส้ เพราะแวดล้อมที่อักเสบนี่แหละ ไปช่วย ‘กลุ่มเกเร’ ให้ขยายอาณาเขตมากขึ้น


📚 บทความทบทวนงานวิจัยอย่างเป็นระบบ (Systematic Review) โดย Alexander N. Boytar et al., 2023 พบว่า
✅ ทั้งการออกกำลังกายแอโรบิก และแบบมีแรงต้าน ล้วนได้ผล
✅ ต้องออกกำลังกาย “ระดับปานกลางขึ้นไป” คือมีเหนื่อย
✅ อย่างน้อย 30 นาที/วัน หรือ 150 นาที/สัปดาห์
✅ ต้องทำต่อเนื่อง ≥8 สัปดาห์
🎯 ออก ≥50 นาที/ครั้ง จะเห็นผลเด่นชัดที่สุด
.

🌟 มาออกกำลังกายกันเถอะค่ะ เราไม่ได้อยู่ตัวเดียวแล้วนะคะ เรามี ‘สัตว์เลี้ยง’ ที่อยู่กับเรามานานแล้ว แต่ไม่ค่อยได้ใส่ใจมันเท่าไหร่ การออกกำลังกายนี่แหละ ทำให้น้องดีใจที่มีเรา และน้องก็จะมอบสิ่งดีๆ ให้เราค่ะ

ที่อยู่

Amphoe Hat Yai

เวลาทำการ

จันทร์ 08:00 - 12:00
อังคาร 08:00 - 12:00
พุธ 08:00 - 12:00
พฤหัสบดี 08:00 - 12:00
ศุกร์ 08:00 - 12:00
เสาร์ 08:00 - 12:00

เบอร์โทรศัพท์

+66824370433

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คลินิคหมออุมา/คลินิคแพทย์หญิงอุมาผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ การปฏิบัติ

ส่งข้อความของคุณถึง คลินิคหมออุมา/คลินิคแพทย์หญิงอุมา:

แชร์

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram