18/09/2025
สมองของคนติดน้ำตาลเหมือนแบบเดียว กับสมองของคนที่ติด โคเคน
หลายคนเชื่อว่า “น้ำตาล = แค่พลังงาน”
แต่จริงๆ แล้ว สมองเราตอบสนองต่อน้ำตาล เหมือนกับเวลาคนเสพโคเคน Dopamine พุ่ง, ความอยากอาหารเพิ่ม และรู้สึกเสพติดมัน
Dr. Robert Lustig (Pediatric Endocrinologist, ผู้ศึกษาน้ำตาลกว่า 40 ปี, ผู้เขียน Fat Chance ) บอกว่า
Sugar isn’t sweet. It’s slow poison
น้ำตาลไม่ใช่ แค่เรื่องความหวานแต่มันคือ
การค่อยๆหยอดยาพิษเข้าร่างกายเรา
ลองมาดู [6] ข้อความจริงเกี่ยวกับน้ำตาล และวิธีป้องกันให้ดีขึ้นกัน
#อ่านจบปุ๊ปเก่งขึ้นปั๊ป
+++++++++++++++
[1] เราไม่ได้แค่ชอบของหวาน แต่จริงๆเราเหมือนเสพติดมัน
ในน้ำตาลจะประกอบด้วย Sucrose (Glucose + Fructose)
จำง่ายๆว่า
Glucose = พลังงานที่ร่างกายเราเอาไปใช้จริงๆ
Fructose = พลังงานที่ ตับต้องจัดการ
Fructose(น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว) จะเข้าไปกระตุ้น Nucleus Accumbens ศูนย์รางวัล (Reward Center) ของสมองเรา (อารมณ์แบบติดสินบน5555)
สมองจะหลั่ง Dopamine (ฮอโมนแห่งความสุข) เหมือนกับโคเคน (Pattern กลไกลแบบเดียวกัน)
- ตอนแรกเราจะรู้สึก "ฟิน" ช่วงๆแรกๆ แฮปปี้ สดชื่น
- จากนั้น Dopamine จะลดลง
- พอมันลดลงเยอะๆสมองก็จะกระตุ้นใหม่(ขอสินบน) ทำให้อยากกินเพิ่มอีก
- พอเราทำแบบนี้ไปนานๆ สมองจะเริ่มดื้อยา อยากได้ Dose น้ำตาลที่มากขึ้น ไปๆมาเราก็เลยเสพติดมัน
ถ้าอยากเลิกติด
🟢 ต้องยอมรับก่อนว่า การติดหวาน = การเสพติดรูปแบบนึง
🔴 อย่าคิดว่า “ชอบกินเฉยๆ” การบอกว่าชอบกินของหวานทำให้เรารู้สึกว่าจะทำหรือไม่ทำก็ได้ (แต่จริงๆเราควบคุมไม่ได้)
---------------------------
[2] ตับเราคือโรงงานที่รับกรรมแทนน้ำตาล (ไขมันพอกตับ)
ทีนี้จาก ข้อ [1] ครึ่งนึงของน้ำตาลคือ Fructose
Fructose จะไม่ได้เข้าไปเลี้ยงสมองหรือกล้ามเนื้อเหมือน Glucose เลย แต่ถูกส่งตรงไปที่ ตับ แบบ 100%
ตับก็เลยต้องทำงานหนัก เอา Fructose ไปเปลี่ยนเป็นไขมัน → ถ้ามีเยอะเกินไป = ไขมันพอกตับ (Fatty Liver)
Dr. Robert Lustig เรียก Fructose ว่า
“Ethanol without the buzz.”
มันคือแอลกอฮอล์ที่ไม่มีอาการเมา แต่ทำลายตับเราตลอด
เมื่อไขมันสะสมในตับมากขึ้น ร่างกายจะเริ่ม ดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance)
ผลลัพธ์คือ: เบาหวาน ,ความดันสูง ,น้ำหนักเกินแบบลดไม่ลงสักที
เตือนตัวเองไว้ว่า
🔴 อย่าคิดว่า “น้ำผลไม้ 100%” คือ healthy choice เพราะ Fructose จัดเต็มพอๆ กับน้ำอัดลมเลยเลย
--------------------------
[3] อินซูลินสูง = จะลดน้ำหนักยากมากๆ
หลายคนพยายาม “นับแคลอรี่” เพื่อลดน้ำหนัก แต่ Dr. Lustig บอกว่า…
“It’s not about calories. It’s about insulin.” (Metabolical)
เพราะเวลาที่เรากินน้ำตาล → ตับจะผลิตไขมัน → อินซูลินในเลือดพุ่งสูง
อินซูลินคือ ฮอร์โมนเก็บพลังงาน → สั่งให้ร่างกายเก็บไขมันแทนการเผาผลาญ
ที่แย่กว่านั้นคือ อินซูลินสูงเรื้อรังจะไป Block Leptin (ฮอร์โมนที่บอกว่า “เราอิ่มแล้ว”)
สมองเลยเข้าใจผิด → คิดว่า เรา“ยังหิวอยู่” ทั้งที่จริงๆ เรามีพลังงานแล้ว
ผลลัพธ์คือ วงจรอ้วนไม่รู้ตัว: กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม อยากของหวาน+คาร์บตลอด
🟢 ถ้าอยากลดน้ำหนักจริง → ต้องลดน้ำตาลและคาร์บขัดสีเพื่อลดอินซูลินก่อน
🔴 อย่าเสียเวลา “นับแคล” อย่างเดียวต้องเลือกประเภทของสารอาหารด้วย
-------------------------
[4] การกิน น้ำอัดลม 0 แคล = ก็ยังมีผลที่ไม่ดีอยู่
หลายคนคิดว่า “เลิกน้ำอัดลม มาดื่ม Diet Soda = ปลอดภัยกว่า”
แต่ Dr. Robert Lustig บอกใน The Diary of a CEO ว่า
“One sugared soda equals two diet sodas.”
น้ำอัดลม Diet 2 กระป๋อง = น้ำอัดลมปกติ 1 กระป๋อง
เพราะอะไร?
แค่ รสหวาน แตะลิ้น สมองก็ส่งสัญญาณไปตับให้ หลั่งอินซูลิน เหมือนกำลังมีน้ำตาลจริง
อินซูลินพุ่ง = กระตุ้นการเก็บไขมัน, ความเสี่ยงโรคหัวใจ, มะเร็ง, สมองเสื่อม
ที่น่าปวดหัวกว่านั้นคือ -> สารให้ความหวาน (aspartame, sucralose) มันไม่ได้ทำให้เราอ้วนจากแคลอรี่โดยตรง แต่มันไปพัง Microbiome (จุลินทรีย์ดีๆ ในลำไส้)
- จุลินทรีย์ดีหายไปจะเกิด Effect แบบนี้
1.จุลินทรีย์ดีหายไปเหลือแต่จุลินทรีย์ที่ไม่ดี
2.Leaky Gut (ผนังลำไส้รั่ว) จุลินทรีย์ร้ายและสารพิษเล็ดรอดเข้าสู่กระแสเลือด
3.Systemic Inflammation (การอักเสบเรื้อรังทั้งร่างกาย) → ต้นตอของโรคอ้วน, เบาหวาน, ซึมเศร้า, ไปจนถึงสมองเสื่อม
นี่คือเหตุผลที่คนเลิกน้ำอัดลมไปดื่ม Diet Soda แล้วน้ำหนักไม่ลง แถมสุขภาพยังพังต่อ
🟢 ถ้าอยากปลอดภัยจริง -> ดื่มน้ำเปล่า, ชาไม่หวาน, น้ำแร่
🔴 ระวังคำว่า Zero Sugar ไม่ได้แปลว่า Zero Risk
--------------------------
[5] Silent Killers = น้ำตาลคือต้นเหตุของโรคเรื้อรังต่างๆ
อินซูลินสูง + การอักเสบเรื้อรังจากน้ำตาล มันไม่ได้หยุดอยู่แค่เรื่องอ้วนหรือพลังงาน แต่คือ ต้นเหตุของโรคเรื้อรังเกือบทุกอย่าง
- น้ำตาล กับ หัวใจ: อินซูลินกระตุ้นให้ผนังหลอดเลือดหนาตัว → หัวใจทำงานหนักขึ้น → เสี่ยง Heart Attack และ Stroke
- น้ำตาล กับ มะเร็ง: อินซูลินคือ “Growth Factor” ที่ไปเลี้ยงก้อนเนื้อร้าย → ทำให้โตเร็วกว่าเดิม (คนเป็นเบาหวานมีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น 2 เท่า)
- น้ำตาล กับ สมอง: น้ำตาลและอินซูลินทำให้สมอง “ดื้อต่ออินซูลิน”
นักวิทยาศาสตร์บางคนเรียก Alzheimer’s (อัลไซร์เมอร์) ว่า “Type 3 Diabetes” (เบาหวานชนิดที่ 3)
Dr. Robert Lustig พูดในหนังสือ Metabolical ว่า
“Metabolic syndrome is the plague of the 21st century and sugar is its fuel.”
"โรคระบาดในศตวรรษนี้ไม่ใช่ไวรัส แต่คือ "การเผาผลาญที่ผิดปกติ" และน้ำตาลคือเชื้อเพลิงของโรคนี้"
🟢 ลดอาหาร/เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลแฝง เลือกอาหารจริง (real food)
🔴 อย่าหลงกลคำว่า “Healthy” บนฉลาก เพราะอุตสาหกรรมอาหารชอบใช้คำนี้เพื่อซ่อนน้ำตาล
-------------------
[6] วิธีป้องกัน = ไม่ใช่เลิก แต่คือ “เลือก”
Dr. Robert Lustig ไม่ได้บอกให้ทุกคนเลิกหวาน 100% เพราะมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ในโลกจริง แต่เขาบอกใน Fat Chance ว่า
“The dose makes the poison.”
ยาพิษทุกชนิด ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ได้รับ น้ำตาลก็เหมือนกัน
สิ่งที่เราทำได้คือ เลือกให้เป็น
ลองปรับพฤติกรรมตามนี้ดู
-เลี่ยงน้ำตาลในน้ำ: น้ำอัดลม, ชานม, น้ำผลไม้กล่อง คือแหล่ง Fructose ที่ร่างกายจัดการไม่ได้จริงๆ
- กินอาหารจริงๆที่ไม่แปรรูป (Real Food): อาหารที่ออกมาจากดิน หรือจากสัตว์ที่กินของจากดิน ช่วย ลดภาระให้ตับ ลดภาระอินซูลิน
- หวานธรรมชาติพอได้: ผลไม้สดทั้งผลกินได้ (มีไฟเบอร์ช่วยลดผลกระทบ) แต่ไม่ควรคั้นแยกน้ำ
- อ่านฉลากให้เป็น: คำว่า “Healthy” บนกล่อง = สัญญาณเตือนให้อ่านดีๆ เพราะมักซ่อนน้ำตาลไว้
🟢 ปรับจาก “เลิกไม่ได้” เปลี่ยนวิธีคิดเป็น “เราเลือกได้”
🔴 อย่าหลอกตัวเองด้วยของ Zero Sugar, Low Fat ที่จริงคือแค่เปลี่ยนรูปแบบยาพิษ
+++++++++++++++
#สรุปแบบลงดาบ
-น้ำตาลไม่ใช่แค่ความหวาน แต่มันเสพติดสมองเหมือนโคเคน
-Fructose = ภาระตับ → ไขมันพอกตับ + เบาหวาน
-อินซูลินสูง = น้ำหนักถูกล็อก ลดเท่าไรก็ไม่ลง
-Diet Soda ก็ไม่ได้ปลอดภัย → พัง Microbiome, ลำไส้รั่ว, อักเสบเรื้อรัง
- น้ำตาลคือเชื้อไฟโรคเรื้อรัง: หัวใจ, มะเร็ง, Alzheimer’s
- ไม่ต้องเลิกหวาน แต่ต้อง “เลือกให้เป็น” เลี่ยงน้ำตาลในน้ำ, กินอาหารไม่แปรรูป, อ่านฉลากให้มากขึ้น
ใครที่ยังไม่ได้ปรับตัว… วันนี้ยังไม่สายไป
เพราะร่างกายเราถูกสร้างมาเพื่อ “ปรับตัวและฟื้นฟู”
แค่เริ่มลดทีละน้อย, เลือกอาหารสดมากขึ้น, ลดของหวานสักหน่อย
เราจะเห็นพลังงานกลับมา สมองดีขึ้น และสุขภาพเริ่มฟื้นกลับมา
ทุกการเลือกของเข้าปากวันนี้ = การลงทุนในร่างกายของเรา
ในอนาคต
ผมหวังว่าเรื่องนี้จะช่วยสร้างวันของคุณ