ตับของเราที่ต้องดูแล

  • Home
  • ตับของเราที่ต้องดูแล

ตับของเราที่ต้องดูแล ความเสียหายที่เกิดจากพิษที่สะสมใน?

18/10/2020
ตับเป็นอวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุดและอยู่ในบริเวณด้านบนขวาของช่องท้อง ตับมีหน้าที่ต่างๆมากมายที่มีความจำเป็นของการมีชีวิตอย...
22/06/2020

ตับเป็นอวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุดและอยู่ในบริเวณด้านบนขวาของช่องท้อง ตับมีหน้าที่ต่างๆมากมายที่มีความจำเป็นของการมีชีวิตอยู่ต่อไปของคนเรา เช่นผลิตโปรตีนต่างๆ และจัดเก็บสารอาหารและวิตามินเช่น วิตามิน เอ ดี เค บี12 กรดโฟลิก และธาติเหล็ก นอกจากนั้นแล้วตับยังมีหน้าที่ผลิตคลอเรสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ และน้ำดี รวมทั้งควบคุมปริมาณองค์ประกอบของเลือดและสารอาหารที่ผ่านเข้าสู่กระแสเลือดอีกด้วย

ตับเป็นพระเอกในกระบวนการกำจัดสารพิษในร่างกาย รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาที่เรารับประทานเข้าไปด้วย โดยที่สารต่างๆจะเจือปนมาในกระแสเลือดที่ส่งไปที่ตับและน้ำย่อยในตับจะทำการสลาย หรือเปลี่ยนแปลงโมเลกุลของการปนเปื้อนต่างๆ ทำให้เป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกายน้อยลง โดยที่สารพิษเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปกำจัดออกที่ไตหรือส่วนอื่นๆของร่างกายในรูปแบบของ อุจจาระ ปัสสาวะ และเหงื่อนั่นเอง

 #สาเหตุของโรคไขมันพอกตับสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (alcoholic fatty liver dise...
15/06/2020

#สาเหตุของโรคไขมันพอกตับสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (alcoholic fatty liver disease) ความรุนแรงของโรคจะขึ้นกับประเภท ปริมาณ และระยะเวลาที่ดื่มแอลกอฮอล์

ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (non-alcoholic fatty liver disease) โดยมีผลจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไวรัสตับอักเสบซี

อีกโรคที่คนส่วนใหญ่มองข้าม แต่กลับเป็นได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเกี่ยวพันกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่เปลี่ยนไป คนที่อา...
04/06/2020

อีกโรคที่คนส่วนใหญ่มองข้าม แต่กลับเป็นได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเกี่ยวพันกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่เปลี่ยนไป คนที่อายุน้อยก็มีแนวโน้มเป็นโรคเกี่ยวกับตับเพิ่มขึ้นและเป็นโรคที่น่ากลัว เพราะมักแสดงตัวให้รู้เมื่อสาย เลยขอสรุป 3 โรคตับยอดฮิต พฤติกรรมเสี่ยงที่ต้องเลิก และแนวทางการดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคโดย นพ. สิริพงษ์ โสภิตภักดีพงษ์ อายุรแพทย์ประจำศูนย์ระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4
1. โรคตับแข็ง…สายปาร์ตี้ต้องระวัง
โดยเฉพาะคุณผู้ชายที่นัดดื่มเป็นประจำ ยิ่งดื่มบ่อยมากๆ แอลกอฮอล์จะยิ่งดูดซึมสะสมอยู่ที่ตับ ทำให้ตับอักเสบ พาไขมันไปเกาะตับ และเป็นตับแข็งในที่สุด หากไม่ดื่มเลย หรือดื่มให้น้อยก็จะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการเข้าสังคม แนะนำให้ดื่มแอลกอฮอล์ไม่เกินวันละ 30 กรัมในผู้ชาย และ 15 กรัมในผู้หญิง
Did you know? เบียร์ 1 กระป๋องมีแอลกอฮอล์ประมาณ 13 กรัม
2. ไขมันเกาะตับ…อ้วนผอมก็เป็นได้ ถ้าตามใจปาก
ถึงไม่ใช่นักดื่ม แต่ถ้ากินหวานจัด เลือกอาหารมันๆ เป็นเมนูจานโปรดแล้วล่ะก็ ไขมันก็มาเกาะตับได้เหมือนกัน และคนเมืองมีแนวโน้มเป็นโรคนี้กันเยอะขึ้น ตามพฤติกรรมที่ไม่มีเวลดูแลตัวเอง ออกกำลังกายน้อย ทานอาหารไม่ครบหมู่ กินจั๊งค์ฟู้ดไปเกือบทุกมื้อ รวมถึงคนที่เป็นเบาหวาน ความดัน และไขมันในเลือดสูงจะมีความเสี่ยงมากขึ้น
Did you know? โรคนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะคนอ้วน คนผอมแต่ลงพุงก็มีสิทธิ์เป็นได้เหมือนกัน
3. ไวรัสตับอักเสบบี และซี…ติดได้ง่ายไม่รู้ตัว
เพราะโรคนี้เป็นโรคติดต่อ โดยผ่านทางเลือด น้ำเชื้อ และน้ำคัดหลั่งอื่นๆ และเมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกายก็จะไปทำลายเซลล์ตับอย่างเงียบๆ หากไม่ตรวจ และปล่อยไว้โดยไม่รับการรักษา ก็จะส่งผลกระทบโดมิโน ทำให้ตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด
Did you know? แต่โรคนี้ไม่ติดต่อผ่านทางน้ำลาย และการให้นมบุตร
ป้องกันได้ก่อน…ไม่ต้องรอรักษา
โรคตับต่างๆ นั้นมักจะไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น แต่เมื่อแสดงอาการ อย่างเช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร ตัวเหลือง ตาเหลือง ก็แปลว่าโรคลุกลามมากแล้ว เพราะฉะนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อเช็คว่าค่าตับยังปกติดีหรือไม่ และดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย กินอาหารให้ครบหมู่
เหตุผลที่เราควรดูแลตัวเองให้ห่างจากโรคตับ
– เพราะเป็นโรคต่อเนื่อง เมื่อเป็นแล้วสามารถพัฒนาเป็นโรคตับอื่นๆได้
– เพราะมะเร็งตับเป็นโรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในคนไทย
– เพราะรักษาหายขาดยาก

02/06/2020
02/06/2020
อย่านิ่งนอนใจที่จะสังเกตอาการ
14/03/2020

อย่านิ่งนอนใจที่จะสังเกตอาการ

รักนะ ถึงบอก
04/03/2020

รักนะ ถึงบอก

แค่หลีกเลี่ยง ก็ลดความเสี่ยงโรคตับ
16/02/2020

แค่หลีกเลี่ยง ก็ลดความเสี่ยงโรคตับ

เบาๆกันหน่อยนะพวกเรา
18/11/2019

เบาๆกันหน่อยนะพวกเรา

ตับเป็นอวัยวะ ที่สำคัญ ที่ต้องคอยดูแล
19/09/2019

ตับเป็นอวัยวะ ที่สำคัญ ที่ต้องคอยดูแล

โรคหน้าฝน 6 โรคฮิตที่พบได้บ่อย ๆ ในช่วงหน้าฝนนี้ คือ โรคจากไวรัส คอติดเชื้อ ฉี่หนู อาหารเป็นพิษ ผิวหนังอักเสบ ไข้เลือดออ...
17/09/2019

โรคหน้าฝน 6 โรคฮิตที่พบได้บ่อย ๆ ในช่วงหน้าฝนนี้ คือ โรคจากไวรัส คอติดเชื้อ ฉี่หนู อาหารเป็นพิษ ผิวหนังอักเสบ ไข้เลือดออก แพทย์แนะกินผัดผักบุ้ง แกงส้มมะละกอ น้ำเสาวรส ปรับสมดุลสุขภาพ

ช่วงนี้ฝนเริ่มตกชุกขึ้น หลายคนจึงต้องตากฝนอย่างเลี่ยงไม่ได้ จนโรคภัยไข้เจ็บขาประจำของฤดูฝนถามหา และเพราะเหตุนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ จึงได้ออกมาเตือนให้ประชาชนระวังการสัมผัสน้ำฝนให้มากขึ้น เพราะในน้ำฝนมีสารปนเปื้อนและเชื้อโรคบางอย่างที่จะทำให้คุณเจ็บไข้ได้ป่วย โดยเฉพาะ 6 โรคหน้าฝนยอดฮิตต่อไปนี้

1. โรคจากไวรัส ทำให้เป็นหวัดคัดจมูกและเกิดอาการไข้ได้ โดยเฉพาะกลุ่มทารก ต้องระวังการถูกฝนให้มาก เพราะอาจเจ็บป่วยไม่สบาย จนถึงขั้นหลอดลมฝอยอักเสบ รวมทั้งโรคไข้หวัดใหญ่

2. คอติดเชื้อ สังเกตได้จากจะเริ่มมีอาการเจ็บคอเป็นหลัก จากนั้นจะมีไข้ ปวดเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวตามมา บางรายมีน้ำมูกร่วมด้วย เกิดจากการเผลอกลืนน้ำฝนปนเปื้อนลงคอไปจนทำให้คออักเสบ

3. ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ เนื่องจากอาหารสดตามตลาดอาจได้รับเชื้ออีโคไลจากน้ำฝนที่ปนเปื้อน ซึ่งเชื้ออีโคไลนี้เป็นเชื้อที่ทำให้ลำไส้อักเสบติดเชื้อ จึงทำให้เกิดความผิดปกติในระบบย่อยอาหารตามมา

4. ผิวหนังอักเสบ น้ำฝนที่ขังตามพื้นถนนนาน ๆ เข้าจะกลายเป็นน้ำเน่าเหม็น เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค หากกระเซ็นมาโดนตัวเราก็มีโอกาสเสี่ยงต่อผิวหนังอักเสบได้ ยิ่งไปกว่านั้น น้ำสกปรกยังอาจทำให้แผลติดเชื้อ เกิดเชื้อรา คัน เกิดตุ่มหนองและฝีได้ ดังนั้น แนะนำให้ล้างมือล้างเท้าบ่อย ๆ หลังจากกลับเข้าบ้าน

5. โรคฉี่หนู เป็นอีกโรคหนึ่งที่ระบาดในช่วงฤดูฝนนี้ แพร่ระบาดได้ในพื้นที่ที่มีน้ำขัง เช่น ทุ่งนา ส่วนในเมือง หากฝนตกทำให้น้ำขังบนถนนออกมาผสมกับท่อระบายน้ำก็มีโอกาสติดเชื้อโรคดังกล่าวได้ แม้ในรายที่รื้อบ้านแล้วมีมูลหนูปนออกมาจนเผลอไปเหยียบเข้าผ่านจากผิวหนังที่เป็นแผลก็จะทำให้ป่วยด้วยโรคนี้ได้ โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดตามตัวโดยเฉพาะน่อง และเบื่ออาหาร

6. ไข้เลือดออก โรคร้ายที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งยุงลายจะเพาะพันธุ์ได้ดีในหน้าฝนที่มีฝนตกลงมาท่วมขัง หากใครมีไข้สูงมาก ไข้ไม่ยอมลด เบื่ออาหาร รู้สึกอ่อนเพลีย เซื่องซึม ขอให้รีบไปพบแพทย์โดยสันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเป็นโรคไข้เลือดออกก็ได้

ในปัจจุบันการป้องกันสุขภาพที่เรามักพบเห็นก็คือการพยายามดูแลตนเองทั้งออกกำลังกาย ทานอาหาร - วิตามินเสริม ฯลฯ ซึ่งถือเป็นเ...
01/07/2019

ในปัจจุบันการป้องกันสุขภาพที่เรามักพบเห็นก็คือการพยายามดูแลตนเองทั้งออกกำลังกาย ทานอาหาร - วิตามินเสริม ฯลฯ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี อย่างไรก็ตามน้อยคนที่จะคิดถึงอวัยวะสำคัญอย่าง "ตับ" ทั้งๆ ที่ตับเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อสุขภาพอย่างมาก

ที่พูดเช่นนั้นก็เพราะตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดภายในร่างกาย รวมทั้งยังมีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เป็นต้นว่า สร้างโปรตีนและสารหลายชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น สร้างน้ำตาลกลูโคส กรดอะมิโนและโปรตีน ไขมันทั้งไตรกลีเซอไรด์และโคเลสเตอรอล ทำให้วิตามินทำงานได้ดีขึ้น และเป็นแหล่งสะสมวิตามินหลายชนิด สร้างน้ำดีหรือน้ำย่อยที่จำเป็นในการย่อยอาหาร รวมทั้งทำหน้าที่ในการดูดซึมไขมันและวิตามินชนิดละลายในน้ำมัน สร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบในการทำให้เลือดแข็งตัว และฮอร์โมนบางชนิด กำจัดหรือทำลายสารพิษหรือสารแปลกปลอมที่อาจหลุดผ่านเข้าไปในกระแสเลือด มีบทบาทสำคัญต่อภูมิต้านทานของร่างกาย ควบคุมการเผาผลาญ รวมทั้งยังทำลายหรือทำให้ยาต่างๆ ออกฤทธิ์ดีขึ้น

ขอบข่ายที่ตับรับผิดชอบจึงมากมายหลายส่วน ด้วยเหตุนี้ เมื่อตับผิดปกติหรือทำงานไม่ปกติ หากเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตับก็จะฟื้นฟูตัวเองได้ แต่หากต้องเผชิญปัจจัยบั่นทอนอยู่ทุกวันก็อาจทำให้เกิดอันตรายและส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ ตั้งแต่อาการไม่ปกติ ทำให้มีอาการของโรค เกิดอาการเจ็บป่วยในระยะยาว รวมทั้งทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตตามมาได้ เช่น ไขมันแทรกในตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง ไขมันสะสมในตับ และมะเร็งตับ

รู้แบบนี้แล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องรู้จักวิธีการสร้างสุขให้กับตับ โดยต้องระวังปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะทำให้เกิดอันตราย

1) อาหารและน้ำดื่ม จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องได้รับอาหารและน้ำดื่มที่สะอาดเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบเอซึ่งเกิดจากการกิน เช่น อาหาร ผัดสด ผลไม้ น้ำดื่ม ที่ปนเปื้อน เชื้อนี้ ทำไม่สุก ไม่สะอาด ไม่ต้มเดือด เป็นต้น ส่วนอาหารปกติแล้วเราไม่จำเป็นต้องเลือกกินอาหารเพื่อบำรุงตับ เพียงเราทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีผลเสียต่อตับ เช่น อาหารที่ปนเปื้อนเชื้ออะฟลาท็อกซิน สารพิษที่ผลิตจากเชื้อรา โดยเราสามารถได้ในเมล็ดธัญพืช โดยเฉพาะในถั่วเมล็ดแห้ง และเมล็ดพืชน้ำมันชนิดต่างๆ พริกแห้ง ฯลฯ ที่มีเชื้อราชนิดนี้ปนเปื้อนอยู่ก่อน งดกินปลาดิบ เพื่อป้องกันพยาธิใบไม้ในตับ ส่วนใครที่มีตับอักเสบหรือตับแข็งระยะเริ่มต้น จำเป็นต้องได้รับอาหารให้ครบทุกหมู่อย่างเพียงพอเพื่อช่วยให้ตับสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว โดยในระยะนี้ เพื่อซ่อมแซมตับคุณหมออาจให้วิตามินเสริม แต่ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยาทานเองเป็นอันขาด

2) เลือดและการมีเพศสัมพันธ์ อีกตัวการหนึ่งที่ทำให้เราติดเชื้อไวรัสตับอักเสบก็คือการติด การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี โดยมีคนเป็นพาหะที่สำคัญ ซึ่งประเทศไทยเราพบประมาณร้อยละ 5 โดยเฉพาะจากเลือดและการมีเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้แปรงสีฟัน กรรไกรตัดเล็บ หรือมีดโกนร่วมกับผู้อื่น หรือการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบอยู่ อาจทำให้คุณติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี หรือ ซี ได้ เมื่อติดเชื้อแล้วอาจจะป่วยเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง มะเร็งตับได้ในที่สุด ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อนี้มีโอกาสเสี่ยงของมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไปถึง 223 เท่า

3) ยา ระวังการกินยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อาจมีผลข้างเคียงต่อตับได้ อย่าลืมว่า เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่ในการกำจัดยาออกจากร่างกาย ดังนั้นการได้รับยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานานจะรบกวนการทำงานของตับหรืออาจมีผลอันไม่พึงประสงค์ต่อตับ เมื่อร่างกายได้รับยาบางชนิดในปริมาณสูง หรือติดต่อกันเป็นเวลานานตับก็จะไม่สามารถทำลายได้ทัน เหลือเป็นส่วนเกินและมีฤทธิ์ทำลายเนื้อตับ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตับจนกลายเป็นภาวะตับวายได้ ในปัจจุบัน ยาอันตรายต่อตับที่คนมักมองข้ามเป็นยาใกล้ตัวอย่าง "พาราเซตามอล" ที่อาจเกิดพิษต่อตับ ทั้งในกรณีที่กินในปริมาณมากเกินไป กินเมื่อดื่มตับเริ่มเสื่อมจากการดื่มแอลกอฮอล์ หรือตับอักเสบจากไวรัสตับอักเสบ โดยเฉพาะในคนที่ไวต่อพาราเซตามอล หากกินเกิน 2 กรัมขึ้นไป อาจจะทำให้ตับอักเสบได้ นอกจากนี้ ยังมียาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้แพ้ ยาแก้หวัด และยาปฏิชีวนะ ยาสมุนไพรที่ไม่ได้มาตรบาน ยาลูกกลอน ฯลฯ ซึ่งมีการใช้อย่างกว้างขวางและล้วนอันตรายหากกินต่อเนื่องเป็นเวลานาน

4) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สำหรับคอทองแดงหรือลำยองอาจจะไม่ค่อยกลัว แต่รู้ไว้เถอะว่า แอลกอฮอล์จะทำให้เกิดความผิดปกติของการใช้โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในตับ ในระยะแรกจะทำให้ไขมันสะสมในตับก่อนซึ่งส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการใดๆ แต่เมื่อดื่มนานเข้าจะทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ และเรื้อรังจนเป็นตับแข็ง และอาจทำให้เกิดมะเร็งตับ และเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะคนที่ดื่มหนักๆ หรือดื่มมานานแล้วจนเกิดตับอักเสบ ยิ่งหากใครมีโรคไวรัสตับอักเสบ บี หรือ ซีร่วมด้วยจะยิ่งเพิ่มอันตรายต่อตับอีกหลายเท่า ทำให้มีโอกาสกลายเป็นโรคตับแข็ง หรือโรคมะเร็งตับได้ง่ายขึ้น แนวทางสำคัญในการป้องกันจึงอยู่ที่การงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มแต่ปริมาณน้อยๆ ไม่ดื่มประจำ ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างไรก็ตามหากเป็นตับอักเสบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จำเป็นต้องได้รับอาหารให้ครบทุกหมู่ เพื่อให้สุขภาพฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

5) สารพิษ การได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายเป็นประจำก็ทำให้เกิดอันตรายต่อตับได้เช่นดียวกัน เช่น สารหนู (arsenic) ที่พบปนเปื้อนในยาหอม ปลาหมึกแห้ง ในอาหาร และสิ่งแวดล้อม หากร่างกายรับเข้าไปมากจะสะสมที่ตับและทำลายระบบการทำงานของตับ ทำให้ตับทำงานหนักและเกิดการอักเสบตามมาในที่สุด

แนวทางการป้องกัน จึงต้องลดความเสี่ยงในปัจจัยที่กล่าวมา รวมทั้งหลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีคาร์โบโฮเดรตสูงต่อเนื่องในปริมาณมาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุกระตุ้นให้มีไขมันแทรกในตับ และถ้าเป็นไปได้ควรตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบ เพราะก่อนที่ตับจะ "พัง" มันจะไม่มีอาการใดๆ ให้เห็น แนวทางการป้องกันจึงสำคัญที่สุด

13 พืชผัก สมุนไพร ผลไม้ช่วยบำรุงตับ...คนเสี่ยงเป็นโรคตับ รีบจัดด่วน!    8 ธันวาคม 2559 11:47     สุขภาพ     โรงพยาบาลศรี...
21/09/2018

13 พืชผัก สมุนไพร ผลไม้ช่วยบำรุงตับ...คนเสี่ยงเป็นโรคตับ รีบจัดด่วน!
8 ธันวาคม 2559 11:47 สุขภาพ โรงพยาบาลศรีวิไล อ่าน 27607
________________________________________
หลายๆ คนคงเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่า เมื่อตับดีสุขภาพต่างๆ ก็ดีตามไปด้วย และเราไม่จำเป็นต้องไปเข้าคอร์ส “ล้างพิษตับ” ให้เสียเงินเสียทอง แต่ร้ายสุดคือเสียชีวิต เพราะมีข่าวเรื่องการล้างพิษทั้งๆ ทีไม่มีความรู้จนทำให้เสียชีวิตมาหลายราย สาเหตุที่เสียชีวิตเกิดจากการที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อตับถูกล้างสารพิษอย่างฉับพลันจึงทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ได้ และช็อคจนน็อคไปในที่สุด ทางที่ดีเราควรฟื้นฟูตับแบบค่อยเป็นค่อยไป และวิธีที่ใช้ก็คือการรับประทานอาหารนี่เอง จะอย่างไรมาดูผัก- ผลไม้ ที่ช่วยฟื้นฟูตับกันเถอะ
1. ลิ้นจี่ (ผลไม้บำรุงตับ) รู้หรือไม่ว่าลิ้นจี่อุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน กลูโคส ซูโครส วิตามิน เอ, บี, และกรดซิตริก โดยตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน ลิ้นจี่ถือเป็นผลไม้ทีมีฤทธิ์อุ่น ช่วยบำรุงตับและบรรเทาอาการตับอักเสบได้คำแนะนำคือ ผู้ที่มีอาการคอแห้ง เจ็บคอ ปวดฟัน หรือท้องผูกไม่ควรรับประทานลิ้นจี่ในปริมาณที่มาก เพราะลิ้นจี่มีฤทธิ์อุ่น ซึ่งอาจส่งผลให้อาหารเหล่านี้ทาวีคูณนั่นเอง
2. แครอท (ผลไม้บำรุงตับ) รู้หรือไม่ว่าแครอทไม่ได้ช่วยแค่เรื่อง ผิวพรรณ หรือดวงตาเท่านั้นนะ แต่ยังช่วยในเรื่องของตับด้วย เพราะแครอทอุดมไปด้วยวิตามินหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอ, บี1, บี2, ซี, ดี และวิตามินเค รวมทั้งยังมีกรดโฟลิก ฟอสฟอรัส โซเดียม โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี และทองแดง ในด้านการแพทย์แผนจีนนับว่าแครอทเป็นผักที่มีฤทธิ์อุ่น จึงช่วยบำรุงตับ บำรุงเลือด ได้ดีและช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อยได้อีกด้วย
3. เกรปฟรุต (ผลไม้บำรุงตับ) ผลไม้ชนิดนี้อุดมไปทั้งวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็น 2 ตัวช่วยที่สำคัญในการล้างพิษตับ และช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งตับ โดยเราสามารถรับประทานแบบสดๆ หรือจะนำไปคั้นน้ำดื่มก็ได้
4. อะโวคาโด (ผลไม้บำรุงตับ) นอกจากกรดไขมัน โอเมก้า3 และ6 ที่อุดมอยู่ในอะโวคาโดแล้ว กลูต้าไธโอนยังเป็นจุดเด่นของอะโวคาโดอีกด้วย สิ่งนี้คือสิ่งที่ช่วยดูแลตับได้เป็นอย่างดี เจ้าอะโวคาโดช่วยล้างพิษที่สะสมในตับและช่วยลดโอกาสเกิดโลหะหนักสะสมในตับได้อีกด้วยนะ
5. วอลนัท (ผลไม้บำรุงตับ) สิ่งที่ตับต้องการจากวอลนัทก็คือ กรดไขมันโอเมก้า3 และกลูค้าไธโอน ตัวช่วยสำคัญในกระบวนการขับสารพิษออกจากตับ ช่วยบำรุงการทำงานของตับให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

#4 ผักช่วยบำรุงตับ
1. กะหล่ำปลี (ผักช่วยบำรุงตับ) สำหรับคนที่ต้องรับประทานยารักษาโรคเป็นประจำ แถมยังต้องเผชิญมลภาวะตามท้องถนนที่แออัดเร่งรีบ จนอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับพิการ รู้หรือไม่ว่ากะหล่ำปลีช่วยเพิ่มสารกลูต้าไธโอนที่มีคุณสมบัติช่วยล้างควันพิษและสารเคมีจากยาที่สะสมในตับได้ด้วยนะ
2. ผักใบเขียว (ผักช่วยบำรุงตับ) ไม่ว่าจะเป็นผักโขม ผักกาดหอม รวมถึงผักใบเขียวชนิดอื่นๆ มีคุณสมบัติป้องกันการเกิดโลหะหนักในตับและชะล้างสารเคมีที่สะสมในตับ โดยเฉพาะสารเคมีประเภทยาฆ่าแมลงที่ร่างกายมักจะได้รับจากการบรอโภคอาหารที่ไม่สะอาด คำแนะนำคือควรบริโภคผักปลอดสารหรือผัวริมรั้วที่ปลูกได้เอง
3. ชาเขียว (ผักช่วยบำรุงตับ) ชาเขียวถือว่าเป็นมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างดีเยี่ยม และแน่นอนว่ามันย่อมช่วยในเรื่องของการบำรุงตับด้วย แถมยังมีสรรพคุณช่วยป้องกันมะเร็งตับได้เป็นอย่างดี (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความเรื่องประโยชน์ของชาเขียว)

4. ผักประเภทหัว (ผักช่วยบำรุงตับ) นอกจากกะหล่ำปลียังมีบล็อกโคลี มันเทศ ที่มีกลูโคโซโนเลต สารอาหารที่หาได้จากพืชผัก แต่มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการผลิตเอนไซมน์ในตับอ่อนเพื่อช่วยต่อต้านสารพิษ และยังมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อย รู้มั้ยว่าการย่อยเกี่ยวอะไร? เมื่อระบบย่อยทำงานได้เป็นปกติก็ถือว่าตับได้ล้างสารพิษออกจากตัวเองด้วยเช่นกัน
4 สมุนไพรช่วยบำรุงตับ
1. ขมิ้นชัน (สมุนไพรช่วยบำรุงตับ) ถ้าต้องการขับพิษออกจากตับ ขมิ้นชันคือคำตอบที่ตรงใจที่สุด นอกจากช่วยขับพิษสะสมในตับแล้วสรรพคุณของขมิ้นชันบังช่วยบำรุงฟื้นฟู และล้างสารพิษออกจากตับได้ เราสามารถเลือกรับประทานขมิ้นชันแบบแคปซูลก่อนนอน เพื่อบำรุงตับ และควรกินวันละ 5,000-8,000 มิลลิกรัมต่อวัน
2. เก๋ากี้ (สมุนไพรช่วยบำรุงตับ) ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดของแหล่งสารอาหาร ประโยชน์ของเก๋ากี้ไม่สามารถบรรยายตรงนี้ได้คบ เอาเป็นว่าช่วยป้องกันไขมันพอกตับ ช่วยให้ตับทำงานได้ดีขึ้น สามารถรับประทานได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น ต้มชาดื่ม ปรุงเป็นโจ้ก หรือนำไปเป็นส่วนผสมของแกง ต้มจืด เครื่องตุ๋นยาจีนเป็นต้น (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความประโยชน์ของเก๋ากี้)

"เก๋ากี้" สมุนไพรบำรุงตับ
3. กระเทียม (สมุนไพรช่วยบำรุงตับ) เนื่องจากกระเทียมมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นให้ตับผลิตเอนไซม์ตัวที่ช่วยขับสารพิษออกไป อีกทั้งกระเทียมยังมีสารอัลลิซิน และ ซีลีเนียม สององค์ประกอบนี้เป็นส่วนสำคัญจากธรรมชาติที่ช่วยดีท็อกซ์พิษตับออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ
4. มะขามป้อม (สมุนไพรช่วยบำรุงตับ) รู้หรือไม่ว่ามะขามป้อมมีวิตามินซีมากกว่าแอปเปิลถึง 160 เท่า วึ่งวิตามินซีในมะขามป้อมจะช่วยรักษาอาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันการเกิดพิษโลหะหนักในตับ และลดความเสี่ยงโรคมะเร็งตับได้
ที่มา : http://sukkaphap-d.com/

สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับแข็งมีได้หลากหลาย (ในประเทศไทยโดยมากมักเกิดจากแอลกอฮอล์และโรคไวรัสตับอักเสบบี) ที่...
06/09/2018

สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับแข็งมีได้หลากหลาย (ในประเทศไทยโดยมากมักเกิดจากแอลกอฮอล์และโรคไวรัสตับอักเสบบี) ที่พบได้บ่อย ๆ คือ

จากการดื่มแอลกอฮอล์จัดติดต่อกันเป็นเวลานาน (มากกว่าวันละ 80 กรัม นาน 5-10 ปีขึ้นไป) โดยประมาณ 60-70% ของตับแข็งจะเกิดจากสาเหตุนี้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเมื่อดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปมาก ๆ จะทำให้เกิดความผิดปกติของการใช้โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในตับ ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบและเรื้อรังจนกลายเป็นโรคตับแข็ง
จากโรคไวรัสตับอักเสบบีและซีเรื้อรัง ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้ประมาณ 10%
จากโรคต่าง ๆ ของท่อน้ำดี ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้ประมาณ 10% เช่น ท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรัง ท่อน้ำดีอุดตัน ซึ่งทำให้น้ำดีที่ไหลย้อนกลับไปที่ตับส่งผลทำลายเนื้อตับจนกลายเป็นตับแข็งได้
จากภาวะร่างกายมีธาตุเหล็กสูง ธาตุเหล็กจึงไปสะสมในตับส่งผลให้เกิดโรคตับแข็ง เช่น ในโรคธาลัสซีเมีย (เป็นสาเหตุที่พบได้ประมาณ 5-10%)
จากโรคหรือภาวะอื่น ๆ เช่น โรคตับอักเสบจากภูมิต้านตนเอง (เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่หันมาทำลายตับตนเอง), โรคไขมันพอกตับ (Fatty liver) ซึ่งทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรังจนกลายเป็นโรคตับแข็ง (มักพบร่วมกับโรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคไขมันในเลือดสูง), ภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรังหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแบบหดรั้งเรื้อรัง (ซึ่งจะทำให้ตับขาดออกซิเจนเนื่องจากมีเลือดไปคั่งที่ตับเป็นเวลานาน ทำให้เซลล์ตับตายและกลายเป็นพังผืด เรียกว่า “Cardiac cirrhosis”), โรควิลสัน (Wilson’s disease) ซึ่งเกิดจากมีการสะสมธาตุทองแดงมากเกินไปในตับ จนเนื้อตับอักเสบและตายหรืออาจเกิดตับแข็ง, การที่ตับติดเชื้อบางชนิด (เช่น ติดเชื้อพยาธิใบไม้ในเลือด (Schistosomiasis) ซึ่งไข่ของพยาธิที่อยู่บริเวณกลุ่มหลอดเลือดจะกระตุ้นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันให้เจริญเกินจนตับกลายเป็นพังผืดจากพยาธิ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดภาวะความดันในหลอดเลือดของตับสูง), ภาวะขาดโภชนาการ (ทำให้ความสามารถในการต้านพิษและไวรัสของตับลดลงกลายเป็นสาเหตุทางอ้อมที่ทำให้เกิดโรคตับแข็ง), ความผิดปกติของการเผาผลาญอาหาร, การใช้ยาเกินขนาดหรือติดต่อกันเป็นเวลานาน (เช่น ยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตามอล ยาปฏิชีวนะเตตราไซคลีน ยารักษาวัณโรคไอเอ็นเอช ยารักษาวัณโรคไรแฟมพิซิน ยาต้านไวรัสซิโดวูดีน ยาเคมีบำบัดรักษาโรคมะเร็ง วิตามินเอเสริมอาหารในปริมาณสูง ยาเม็ดสมุนไพรใบขี้เหล็กซึ่งนิยมใช้เป็นยานอนหลับ เป็นต้น), การได้รับสารเคมีหรือสารพิษบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน (เช่น สารโลหะหนัก สารหนู คาร์บอนเตตราคลอไรด์ คลอโรฟอร์ม), ไม่พบสาเหตุชัดเจน (เรียกว่า “Cryptogenic cirrhosis”) เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่พบได้รวมกันแล้วประมาณ 5%

ตับแข็ง...ไม่ดื่มก็เป็นได้เมื่อพูดถึงตับแข็ง หลายๆ คนคงเข้าใจว่าเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียว แต่แท้จริงแล้วมีห...
23/08/2018

ตับแข็ง...ไม่ดื่มก็เป็นได้

เมื่อพูดถึงตับแข็ง หลายๆ คนคงเข้าใจว่าเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียว แต่แท้จริงแล้วมีหลายสาเหตุที่สามารถทำให้เกิดตับแข็ง ซึ่งเมื่อเกิดตับแข็งแล้วจะไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาเป็นปกติได้ อย่างไรก็ดีการรักษาแต่เนิ่นๆ ร่วมกับความร่วมมือในการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยจะช่วยป้องกันไม่ให้เนื้อตับถูกทำลายมากขึ้นได้

ตับ เป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ในร่างกาย มีหน้าที่สำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการผลิตโปรตีน ฮอร์โมน และเม็ดเลือด เก็บสะสมสารอาหารต่างๆ ทำงานประสานร่วมกับอวัยวะอื่นๆ เช่น หัวใจ ไต ตับอ่อน ถุงน้ำดี รวมถึงทำลายสารพิษทั้งที่เกิดขึ้นภายในร่างกายเองหรือจากที่เรานำเข้าสู่ร่างกาย

ตับแข็ง เป็นภาวะที่เกิดขึ้นของโรคตับ ซึ่งทำให้เกิดการทำลายตับและการอักเสบ เมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้นซ้ำๆ จะทำให้เนื้อเยื่อที่ดีของตับถูกทำลาย เกิดแผลเป็นและพังผืดขึ้นมาแทนที่ เนื้อตับจึงสูญเสียความยืดหยุ่นและกลายเป็นตับแข็งในที่สุด

การดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันเป็นเวลานานเป็นสาเหตุที่ทุกคนทราบดีว่าทำให้เกิดตับแข็งได้ แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุนี้เพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น การเกิดตับแข็งยังมีสาเหตุอีกมากมาย อาทิ

การติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดต่างๆ (เช่น ไวรัสตับอักเสบบีและซี) การติดเชื้อแบคทีเรีย การติดเชื้อรา การติดเชื้อพยาธิ

การรับประทานยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานาน
การได้รับสารพิษที่มีผลต่อตับ
ตับอักเสบจากภูมิต้านทานตนเองที่ทำงานไม่ปกติ
ภาวะไขมันเกาะตับ
เมื่อสาเหตุเหล่านี้ก่อให้เกิดความผิดปกติในตับ ก็ส่งผลให้ตับทำงานได้ลดลง ผู้ที่มีภาวะตับแข็งจึงอาจมีอาการแสดงต่างๆ ได้ เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ น้ำหนักลด สับสน มึนงง รู้สึกความจำไม่ดี พูดอะไรก็จำไม่ค่อยได้ ถ้าเป็นมากขึ้นอาจมีอาการคันตามตัว รวมถึงมีอาการตาเหลืองตัวเหลืองในช่วงระยะนี้ได้ด้วย

นอกจากนี้ ภาวะตับแข็งยังอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด ทำให้ความดันในเส้นเลือดสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เลือดออกง่าย ม้ามโต ขาบวม มีน้ำในช่องท้อง มีการเปลี่ยนแปลงตามผิวหนังคือมีจุดเล็กๆ แดงๆ เกิดขึ้น มีเส้นเลือดผิดปกติเกิดขึ้นในช่องทางเดินอาหาร ซึ่งถ้าเส้นเลือดเหล่านี้แตกก็อาจทำให้ถ่ายอุจจาระปนเลือดได้

สำหรับการรักษาตับแข็งนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อหยุดยั้งกระบวนการอักเสบซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดพังผืดในตับ แนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับของการทำลายเนื้อตับ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาวิธีการที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย อย่างไรก็ดี การดูแลรักษาตับแข็งนั้น แพทย์ไม่ใช่ผู้ที่มีบทบาทในการรักษาแต่เพียงผู้เดียว ผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยล้วนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้การดูแลรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด

สิ่งที่ผู้ป่วยภาวะตับแข็งควรปฏิบัติเพื่อลดการทำลายตับและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่

หลีกเลี่ยงทุกสิ่งที่เป็นต้นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อตับ เช่น งดดื่มแอลกอฮอล์ ลดน้ำหนักเพื่อป้องกันภาวะไขมันเกาะตับ งดการรับประทานยาที่เป็นอันตรายต่อตับ เป็นต้น
ห้ามงดการรับประทานโปรตีนเพราะจะทำให้การเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอผิดปกติไป ควรรับประทานโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น เนื้อปลา ถั่วเหลือง เป็นต้น
จำกัดการรับประทานเกลือและอาหารที่มีรสเค็ม เพราะจะทำให้เกิดอาการบวมมากขึ้น
ไม่ควรปล่อยให้ท้องผูก เพราะจะทำให้สารพิษดูดซึมเข้าไปในร่างกายและเกิดการสะสมได้มากขึ้น
หลีกเลี่ยงการรับประทานยาและสมุนไพรที่ส่งผลต่อตับ
คอยสังเกตอาการว่ามีอาการแย่ลงหรือไม่ ถ้าอาการแย่ลง ควรรีบมาพบแพทย์ทันที
พบแพทย์เพื่อตรวจติดตามอาการเป็นระยะ
แม้ตับแข็งจะไม่สามารถทำให้ตับกลับมาเป็นปกติได้ แต่ก็ยังสามารถป้องกันที่ต้นเหตุและควบคุมดูแลอาการไม่ให้เป็นมากกว่าเดิมได้ การดูแลสุขภาพตนเองและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ภาวะโรคไม่ลุกลามไปกว่าเดิม


เรียบเรียงโดย พญ.อรพิน ธนพันธุ์พาณิชย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินอาหารและตับ ศูนย์โรคทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

Address


Telephone

+66830562105

Website

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when ตับของเราที่ต้องดูแล posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Practice

Send a message to ตับของเราที่ต้องดูแล:

  • Want your practice to be the top-listed Clinic?

Share

Share on Facebook Share on Twitter Share on LinkedIn
Share on Pinterest Share on Reddit Share via Email
Share on WhatsApp Share on Instagram Share on Telegram