05/12/2025
ท้องผูก! ... มียาระบายแบบไหนบ้าง?
🚽 ท้องผูก! ... มียาระบายแบบไหนบ้าง?
อาการท้องผูก (Constipation) หมายถึง อาการที่ผู้ป่วยมีการถ่ายอุจจาระแข็ง หรือเป็นก้อนเล็กลง หรือจำนวนความถี่ในการถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์
ปัญหาท้องผูก เป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงวัย และมักสร้างความทรมานทุกครั้งที่ต้องเข้าห้องน้ำ 🚽 เพราะการเบ่งถ่ายที่ยากลำบาก ซึ่งอาจนำไปสู่โรคต่าง ๆ ได้ เช่น ริดสีดวงทวารหนัก แผลบริเวณรอบ ๆ ทวารหนัก
ทางออกคือการมองหายานั่นเอง 💩 “ยาถ่าย” หรือ “ยาระบาย” ตัวช่วยสุดสะดวกสำหรับอาการท้องผูก ที่สามารถรับได้จากทั้งโรงพยาบาล หรือซื้อเองกับเภสัชกร ทานแล้วเห็นผลว่องไว ขับถ่ายสบายใจ แต่ทราบหรือไม่ว่าการทานยาถ่ายบางประเภทติดต่อกันนานๆ สามารถทำให้ท้องผูกเรื้อรังได้! และต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ไม่ใช่ใครๆก็ทานตัวเดียวกันได้
รู้จักประเภทยาระบายก่อนใช้ 🧻
----------------------------------------
1️⃣ Bulk forming laxatives
เป็นกลุ่มไฟเบอร์ ช่วยเพิ่มกากใย เพิ่มปริมาณอุจจาระในลำไส้
ระยะเวลาออกฤทธิ์ : 1-3 วันหลังรับประทานต่อเนื่อง จึงค่อนข้างช้าเหมาะแก่คนที่ใช้ระยะยาวมากกว่าต้องการเป็นผลทันที
เหมาะสำหรับ : ปรับลำไส้, ผู้ที่อุจจาระเป็นก้อนเล้กๆแข็งๆ, หญิงตั้งครรภ์, เด็ก, ผู้สูงอายุ
ข้อควรระวัง : ไม่ควรใช้ในผู้ที่มีภาวะลำไส้อุดตัน, ตัวยาเมื่อละลายน้ำแล้วจะข้นเหนียวคล้ายเจล ควรรับประทานทันที ดื่มน้ำตามมากๆ
2️⃣ Osmotic laxatives : Lactulose
ยามีรสหวาน จะถูกแบคทีเรียเปลี่ยนเป็น lactic acid ในลำไส้ ทำให้ลำไส้ใหญ่มีสภาพเป็นกรด ซึ่งมีผลเพิ่มการดึงน้ำเข้าลำไส้ และลดการดูดกลับแอมโมเนียเข้ากระแสเลือด จึงช่วยลดแอมโมเนียในผู้ป่วยโรคตับได้ด้วย
ระยะเวลาออกฤทธิ์ : 1-3 วัน หลังใช้ต่อเนื่อง
เหมาะสำหรับ : เด็ก, ผู้ป่วยโรคตับ, ผู้ที่ต้องการปรับสมดุลลำไส้
ข้อควรระวัง : ผู้ป่วยเบาหวาน
3️⃣ Stimulant laxatives: Bisacodyl (เม็ดเหลือง, เม็ดชมพู), ยาระบายสมุนไพรมะขามแขก, น้ำมันละหุ่ง (castor oil)
ออกฤทธิ์กระตุ้น colon mucosal nerve plexus ส่งผลให้เกิดการบีบตัวของลำไส้ ดันอุจจาระออก
ระยะเวลาออกฤทธิ์ : 6-12 ชั่วโมง
อาการข้างเคียง : ปวดเกร็ง หรือปวดบีบท้อง
ข้อควรระวัง : ไม่แนะนำให้ใช้ติดต่อกันนานๆ เนื่องจากลำไส้จะดื้อต่อการกระตุ้นด้วยยา, ระวังการใช้ในเด็ก, หญิงตั้งครรภ์, ผู้สูงอายุ
4️⃣ Osmotic laxatives : Milk of magnesia (MOM)
ช่วยดึงน้ำเข้าสู่ลำไส้ ทำให้อุจจาระอ่อนเหลวมากขึ้น เช่น Milk of magnesia (MOM) มักใช้ควบคู่กับกับไฟเบอร์เพื่อปรับลำไส้ กระตุ้นการขับถ่ายในระยะยาว
ระยะเวลาออกฤทธิ์ : 30 นาที - 6 ชั่วโมง แล้วแต่บุคคล
ข้อควรระวัง : ระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคไต, โรคหัวใจ
5️⃣ Saline laxatives (Cathartics) : Xubil(R)
กระตุ้นการดูดน้ำเข้าลำไส้ เพิ่มการบีบตัวลำไส้
ระยะเวลาออกฤทธิ์ : 30 นาที- 6 ชั่วโมง
เหมาะสำหรับ : สวนล้างลำไส้ก่อนการผ่าตัด
ข้อควรระวัง : อาจทำให้ถ่ายเหลว ท้องเสีย และอ่อนเพลียจากการสูญเสียแร่ธาต้ได้ ควรจิบเกลือแร่เสริมหลังใช้ยานี้
6️⃣ Osmotic laxatives : กลีเซอรีนเหน็บ (แท่งเทียน), ลูกสวนทวาร
ระยะเวลาออกฤทธิ์ : ภายใน 30 นาที หลังใช้
เหมาะสำหรับ : เด็ก, ผู้ที่ต้องการระบายในทันที, ใช้ระบายอุจจาระเก่าออกก่อนการใช้ยาระบายกลุ่มอื่นๆ
ยาถ่ายหรือยาระบายที่ใช้กันทั่วไป มีสรรพคุณกระตุ้นลำไส้ใหญ่โดยตรง เช่น มะขามแขก, เม็ดเหลือง ทำให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนไหวมากขึ้น และขับถ่ายอุจจาระที่ตกค้างออกมา แต่ในทางตรงกันข้ามหากทานเป็นเวลานานยาถ่ายอาจทำให้ท้องผูกเสียเอง อาจมีผลข้างเคียงจนถึงลำไส้อักเสบ, ลำไส้แปรปรวน ตามมาได้
ยาถ่ายจะดูดน้ำจากลำไส้เข้าสู่อุจจาระ ทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม แต่ถ้าทานน้ำน้อยเกินไปก็อาจมีปัญหาลำไส้อุดตันได้ เช่นกัน
⚠️ การใช้ยาถ่ายต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น ทานทุกวันเกิน 1-2 อาทิตย์ ทำให้ลำไส้ติดการกระตุ้นจากยาถ่าย จนทำงานเองไม่เป็น กล่าวคือถ้าไม่มียาถ่าย ลำไส้ก็จะไม่ทำงานเลย ไม่ขับถ่ายเลย ปล่อยให้อุจจาระตกค้างอยู่อย่างนั้น มีอีกชื่อหนึ่งว่า “ลำไส้ขึ้เกียจ” ถ้าปล่อยเอาไว้จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะลำไส้จะค่อยๆ ดื้อยาเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องทานยาถ่ายมากขึ้น หรือแรงขึ้นเพื่อให้ได้ผลเท่าเดิม ท้ายที่สุดแล้วแม้จะทานยาถ่ายก็ไม่สามารถกระตุ้นให้ขับถ่ายได้ กลายเป็นโรคลำไส้แปรปรวน ท้องผูกเรื้อรัง
ดังนั้นในทางปฏิบัติไม่ควรใช้ยาถ่ายพร่ำเพรื่อ หากมีอาการท้องผูกควรเริ่มจากปรับพฤติกรรมการทานอาหารก่อน ถ้ายังไม่ดีขึ้นค่อยหันมาหายาระบาย โดยปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้
เรียบเรียงโดย : เพจสุขภาพดีไม่มีในขวด